9 Trends ที่จะทำให้รูปแบบการทำงานตั้งแต่ปี 2021 เปลี่ยนไป
คุณ Brian Kropp Chief of Research จากบริษัท Gardner HR Practice ได้ทำการคาดคะเนถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์ในการทำงานของประชากรบนโลกตั้งแต่ปี 2020 จนก้าวผ่านเข้ามาในปี 2021 โดยมองว่ารูปแบบในการทำงานของปีนี้นั้นคงไม่ได้ราบเรียบและน่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายที่สะสมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และปัจจัยอีกประการที่สำคัญยิ่งคือการพยายามเอาชนะขีดจำกัดของวัคซีนทั้งในแง่การทดสอบประสิทธิภาพ การผลิต การจัดสรร ขนส่ง รวมไปถึงการถ่ายทอดความรู้ในการผลิต ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก และเป็นปัจจัยภาพนอกที่กำหนดสภาพแวดล้อมและการตัดสินใจในการทำงานมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2021 และต่อเนื่องไปนั้น เขาคาดการณ์ไว้ดังนี้
1. คำว่า Employee Experience จะเปลี่ยนเป็น Life Experience
ในช่วงปีที่ผ่านมา พนักงานในหลาย ๆ องค์กรได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทำงานที่เปลี่ยนไป บางคนต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน เนื่องจากสำนักงานปิด แล้วยังจะต้องแบ่งสรรพื้นที่ในการทำงานกับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรสที่อาจจะต้องนำงานมาทำข้าง ๆ กัน หรือบุตรหลานที่ต้องทำการเรียนหนังสือแบบออนไลน์ การที่ชีวิตโดนเบียดเบียนจากพื้นที่ทำงานทำให้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของหลาย ๆ คนต้องเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเครียดสะสมจากการทำงานเข้ามารบกวนพื้นที่ส่วนตัวจนแทบจะกลายเป็นก้อนเดียวกัน จากการสำรวจของ Gartner พบว่า นายจ้างที่สามารถออกแบบการดูแลที่มุ่งแก้ปัญหาชีวิตของพนักงานนั้น ทำให้สุขภาพจิตของพนักงานดีขึ้นถึง 23% และสุขภาพกายดีขึ้น 17% นั่นเป็นเหตุผลที่เราสามารถจะเชื่อได้ว่าปี 2021 นี้ปัจจัยการออกแบบการดูแลชีวิตของพนักงานในระหว่างต้องทำงานจากที่บ้านนั้นจะกลายเป็นประเด็นสำคัญที่จะรักษาคนในองค์กรเอาไว้นั่นเอง
2. พนักงานจับตามองการสนับสนุนกระแสทางสังคมของบริษัท
ปี 2020 เป็นปีที่กระแสสังคมเรียกได้ว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคน เรื่องราวการชุมนุมจากซีกโลกหนึ่งมากระทบอีกซีกโลกหนึ่งอย่างรวดเร็ว ประชาคมโลกต่างร่วมใจกันออกมาสนับสนุนสิทธิต่าง ๆ ที่เป็นกระแสใน social networks และประการสำคัญคือ สิ่งที่เรียกว่า Cancel Culture ที่กำลังมาแรงในโลกออนไลน์ หรือที่เรารู้จักกันในนามของการแบน หรือเลือกใช้สินค้าและบริการของบริษัทต่าง ๆ ที่มีท่าที่สนับสนุนความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน พนักงานหลายคนเริ่มมีการพูดถึงการที่บริษัทอาจจะต้องมีท่าที่ต่อเรื่องดังกล่าวอย่างไม่โอนเอน ผลการสำเร็จของ Gartner พบว่า ค่า engagement ของพนักงานในองค์กรที่แนวความคิดด้านสังคมของบริษัทหากสอดคล้องกับความคิดของตนเองนั้น จะทำให้เพิ่มสูงขึ้นถึง 60%
3. ความท้าทายของการออกแบบค่าจ้างใน Hybrid Workplace
หลังจากการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสจบลงแล้ว หลาย ๆ องค์กรเริ่มคิดถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมในการกลับเข้าทำงานแบบปกติ ในขณะที่อีกหลายองค์กรก็ใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นแบบลูกผสมเลย กล่าวคือ จะมีพนักงานทั้งที่ต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ และพนักงานที่จะสามารถทำงานจากที่บ้านได้ ในขณะเดียวกันคำถามเรื่องการออกแบบค่าจ้างและผลตอบแทนระหว่างคนสองกลุ่มนี้ก็กำลังจะกลายาเป็นประเด็นขึ้นมาอย่างช้า ๆ เนื่องจากผลการสำรวจพบว่า โดยปกติคนเราจะคิดว่า remote worker นั้นควรจะได้รับค่าจ้างน้อยกว่า พนักงานที่เข้ามาทำงานในสำนักงาน แต่ในขณะที่ตัวเลขค่าจ้างกลับให้ผลที่ตรงกันข้าม โดยเฉพาะ talent ที่เป็น remote worker นั้นได้เงินมากกว่าราว ๆ 5%
4. ความสร้างสมดุลในการติดตามพนักงาน (Track and Monitoring)
คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลาย ๆ บริษัทในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ทำการสร้าง หรือทดสอบใช้แอพพลิเคชั่นหลาย ๆ แบบเพื่อสอบถามถึงความปลอดภัยของพนักงาน เช่นการให้พนักงาน check in ตอนเช้า หรือพยายามให้ลงโปรแกรมติดตามตัวเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการติดโรคระบาด อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่พฤติกรรมดังกล่าวเริ่มกลายเป็น new normal ภาครัฐก็จะเริ่มมีการออกกติกามาควบคุมเรื่องดังกล่าวไม่ให้เกินขอบเขตความจำเป็น
5. คำว่า “ยืดหยุ่น” จะกลายเป็นเรื่องของเวลามากกว่าสถานที่
เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา เป็นการเริ่มต้นการที่มนุษย์หลาย ๆ คนคุ้นเคยกับการทำงานจากที่บ้าน และกำลังจะกลายเป็นกระแสของสภาพการทำงานแบบใหม่ ดังนั้นปี 2021 สิ่งที่จะกลายเป็นผลกระทบต่อเนื่องคือเรื่องของระยะเวลาในการทำงาน ผลการศึกษาของ Gartner พบว่าพนักงานที่ได้รับอนุญาตให้มีความยืดหยุ่นของเวลาในการทำงานนั้นส่งผลให้เกิดความสามารถในการทำงานที่สูงขื้นเป็นจำนวน 55%
6. วัคซีนจะกลายเป็นสวัสดิการของบริษัทชั้นนำ
ในยุคสมัยที่โรคระบาดกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนใส่ใจมากขึ้นนั้น การให้สวัสดิการเรื่องการฉีดวัคซีนจะกลายเป็นเครื่องมือในการสรรหาและรักษาคนเก่งขององค์กรเอาไว้เมื่อเทียบกับตลาด ในขณะเดียวกันเราอาจจะได้เห็นการกำหนดเงื่อนไขในการจ้างงานแบบแปลก ๆ เช่น ขอตรวจผลการรับวัคซีนก่อนเข้างาน เป็นต้น
7. การรักษาพยาบาลจะรวมไปถึงการรักษาสุขภาพจิตใจ
ผลกระทบโดยตรงของการทำงานจากที่บ้านนั้นดังที่กล่าวไว้ข้างต้นจะได้รับแรงที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานในวงกว้าง คำว่า well-being หรืออยู่ดีกินดีของพนักงาน จะไม่ได้หมายถึงสุขภาพกายเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะหมายถึงสุขภาพใจด้วย ความเครียดของการถูก lockdown และ social distancing จะส่งผลให้เกิดภาวะความเครียดมากขึ้น และสะสมรวมกับการทำงานอย่างต่อเนื่อง หลาย ๆ องค์กรเริ่มนำกระบวนการที่เรียกว่า mindfulness เช่น การนั่งสมาธิในช่วงสั้น ๆ ก่อนการทำงาน หรือการกำหนดลมหายใจพร้อมกับเปิดเพลงที่ผ่อนคลาย โดยพนักงานสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมาเบิกบริษัทได้
8. การ “เช่า” Talent จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
การปิด skills gap ขององค์กรในช่วงที่ต้องการ reskill ต่อเนื่องจาก disruption นั้นถือเป็นเรื่องท้าทาย และแข่งกับเวลา ดังนั้นหากเราไม่สามารถสร้าง หรือ upskill ได้ทัน การเช่า หรือยืม talent จากภายนอกเป็นการชั่วคราวจึงเริ่มเป็นทางออกของหลายองค์กร
9. เมืองในประเทศต่าง ๆ จะเตรียมการเพื่อดึงดูดให้องค์กรมาตั้งบริษัทในเขตของตน
ในเมื่อการทำงานในยุคใหม่จะเปลี่ยนไปเป็น remote work มากขึ้น ในอนาคตเราจะได้เห็นการแข่งขันกันระหว่างเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกในการเตรียมสร้างแรงดึงดูดของนักลงทุนให้ไปตั้งบริษัทในเขตของตัวเองมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ซบเซา และเพื่อสร้างเม็ดเงินลงทุนในระยะยาว
อ้างอิง
Improve the Employee Experience | Gartner for HR
9 Trends That Will Shape Work in 2021 and Beyond (hbr.org)