>
เหตุผลที่คุณควรมาฟัง Erin Meyer อีกครั้งในงาน PMAT 2025
Article
October 2, 2025

เหตุผลที่คุณควรมาฟัง Erin Meyer อีกครั้งในงาน PMAT 2025

ท่านผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ครับว่าองค์กรระดับโลกอย่าง Netflix สร้างวัฒนธรรมที่กระตุ้นนวัตกรรมได้อย่างไร? หรือเคยเผชิญความท้าทายในการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานต่างวัฒนธรรมที่การสื่อสารเกิดความเข้าใจผิด? นี่คือโอกาสที่พวกเรากำลังจะได้รับมุมมองและแนวทางแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านวัฒนธรรมองค์กร Erin Meyer ซึ่งกำลังจะกลับมาแบ่งปันความรู้กับผู้ฟังชาวไทยอีกครั้งในงาน PMAT 60th Anniversary HR International Conference 2025 ในระหว่างวันที่ 12–13 พฤศจิกายน 2025 นี้ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี และเปิดเวทีให้นักวิชาชีพ HR, ผู้เชี่ยวชาญ L&D, ผู้นำองค์กร และผู้สนใจด้านวัฒนธรรมการทำงาน ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสุดยอดนักคิดระดับโลก

คราวที่แล้วผมมีโอกาสได้แนะนำท่านอาจารย์ Dave Ulrich ในแง่มุมของนักคิดนักวิชาการที่คลุกคลีกับงานวิจัยเรื่องศักยภาพของ HR และองค์กรมาแล้ว สำหรับในครั้งนี้นั้นผมจะขอโอกาสแนะนำทุกท่านให้รู้จักกับคุณ Erin ที่เป็นคนที่ร่วมเขียนหนังสือชื่อดังอย่าง No Rules Rules ที่เคยสั่นสะเทือนวงการบริหารทรัพยากรบุคคลมาแล้วทั่วโลกคุณ Erin Meyer เคยฝากผลงานการบรรยายในประเทศไทยมาแล้วเมื่อปี 2024 ในหัวข้อ “Context, Culture and L&D in Disruption” ซึ่งสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ฟังถึงบทบาทของวัฒนธรรมองค์กรในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงโดยสำหรับปี 2025 นี้ เธอจะกลับมาพร้อมเวทีที่ใหญ่ขึ้น ทั้งในรูปแบบการบรรยายและ Exclusive Masterclass เชิงปฏิบัติการที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ร่วมงานจะได้ใกล้ชิดและเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติไปพร้อมกับเธอ

 

การมาในครั้งนี้ของErin นอกจากจะหยิบยกเอาปัจจัยที่น่าขบคิดในความต่างด้านวัฒนธรรมแล้วยังเปิดโอกาสให้พวกเราได้ลองฟังมุมมองที่ผ่านประสบการณ์การทำงานในระดับโลกที่มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างมากและนี่คือเหตุผลที่ผมขอเชิญชวนท่านผู้อ่านและท่านสมาชิกที่สนใจทุกท่านเข้าร่วมงานในครั้งนี้ครับ

 

เหตุผลที่ 1: เรียนรู้จากนักคิดระดับโลกด้านวัฒนธรรมและความเป็นผู้นำ

 

Erin Meyer คือสุดยอด Guru ระดับโลกผู้ที่จะมาแบ่งปันองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมองค์กรและภาวะผู้นำข้ามวัฒนธรรมโดยตรงให้กับคุณในแวดวงการบริหารจัดการชื่อของเธอได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในแวดวงการศึกษาเธอเป็นศาสตราจารย์แห่งสถาบันธุรกิจชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัย INSEAD และมุ่งวิจัยเรื่องการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางความซับซ้อนหลากหลายทางวัฒนธรรมทั่วโลก ผลงานของเธอได้ช่วยแนะนำผู้บริหารนับพันคนให้เข้าใจความซับซ้อนของวัฒนธรรมข้ามชาติและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในองค์กรมาแล้ว ด้วยความโดดเด่นด้านความคิดนี้ Erin Meyer จึงได้รับเลือกให้ติดอันดับนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกธุรกิจถึงสองครั้งจากการจัดอันดับโดย Thinkers 50 (ปี 2018 และ 2020) และเคยติดอันดับ 30 นักคิดด้าน HR ที่ทรงอิทธิพลที่สุดประจำปีของนิตยสาร HR Magazine


เรียกได้ว่าเธอคือ หนึ่งในมันสมองชั้นนำของโลกในเรื่องการบริหารคนและวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง

 

นอกจากบทบาทนักวิชาการและที่ปรึกษาให้กับองค์กรมากมายทั่วโลก Erin Meyer ยังเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีระดับ New York Times Bestseller ถึงสองเล่ม ได้แก่ “The Culture Map” และ “No Rules Rules” ซึ่งได้กลายเป็นคู่มือสำคัญสำหรับผู้บริหารที่ต้องการยกระดับวัฒนธรรมองค์กรของตนเองงานเขียนของเธอถูกยกย่องว่าช่วยเปลี่ยนมุมมองการบริหารคนและวัฒนธรรมขององค์กรยุคใหม่ไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฟังการบรรยายของเธอ ผู้ฟังจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความรู้ที่อ้างอิงจากงานวิจัยและกรณีศึกษาระดับโลกผสานทั้ง แนวคิดเชิงวิชาการและประสบการณ์จริง ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในองค์กรของตนเอง

 

ที่สำคัญ Erin Meyer มีสไตล์การบรรยายที่เป็นกันเอง ชวนคิดและเต็มไปด้วยตัวอย่างที่น่าสนใจทำให้เนื้อหาที่อาจดูวิชาการกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้ทันที

เหตุผลที่ 2: ไขความลับเบื้องหลังวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมของ Netflix (No Rules Rules)

หนึ่งในไฮไลต์ที่จะได้รับจากการฟัง Erin Meyer คือการเรียนรู้กรณีศึกษาจริงจาก Netflix บริษัท Media Streaming ระดับโลกที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยวัฒนธรรมองค์กรสุดท้าทายกรอบความคิดเดิมๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Netflix ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในฐานะองค์กรที่ไม่มีนโยบายหยุมหยิมเหมือนบริษัททั่วไปแต่กลับสร้างผลลัพธ์ยอดเยี่ยมด้วยการให้อิสระและความรับผิดชอบสูงแก่พนักงาน และ Erin Meyer คือผู้อยู่เบื้องหลังการถอดบทเรียนความสำเร็จนี้ร่วมกับ Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix ผ่านหนังสือชื่อดัง“No Rules Rules: Netflix and the Culture of Reinvention” ที่เธอร่วมเขียนนั่นเอง หนังสือเล่มนี้เปิดเผยปรัชญาการบริหารคนแนวใหม่ของ Netflix ที่ ให้อำนาจและความไว้วางใจแก่พนักงานอย่างเต็มที่ (freedom with responsibility) จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และความคล่องตัวในการทำงานซึ่งองค์กรทั่วโลกต่างได้รับแรงบันดาลใจและนำไปปรับใช้

ในการบรรยายครั้งนี้ Erin Meyer จะถ่ายทอด “สูตรลับ” ของวัฒนธรรม Netflix ให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างเป็นระบบ หลักใหญ่ใจความคือ การสร้างองค์กรที่เต็มไปด้วยคนเก่งและให้พวกเขาทำงานอย่างอิสระที่สุดพร้อมกระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยน feedback กันอย่างเปิดเผยจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพากฎระเบียบที่เข้มงวดเหมือนเดิม แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “Netflix Experiment” ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลักได้แก่:

  • Increase  Talent Density – เพิ่มความหนาแน่นของคนเก่ง: รับและรักษา Top Talent เข้าองค์กรให้มากที่สุด ด้วยความเชื่อว่าคนเก่งหนึ่งคนสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เมื่อมีแต่คนเก่งอยู่รอบตัวกันก็จะยิ่งผลักดันกันสู่ผลงานระดับสุดยอด (ทั้งนี้ Netflix เลือกที่จะลงทุนกับคนเก่งไม่กี่คนแต่ให้ค่าตอบแทนสูงสุด แทนที่จะจ้างคนจำนวนมากแต่ฝีมือธรรมดา)
  • Increase Candor – เพิ่มความตรงไปตรงมา: สร้างบรรยากาศที่ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย Feedback กันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนพนักงานสามารถตักเตือนกันเองได้เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่หัวหน้าเท่านั้น ทำให้เกิดการควบคุมดูแลกันเองภายในทีมแทนกฎระเบียบจากเบื้องบ
  • Remove Control  – ลดกฎระเบียบการควบคุม: เมื่อองค์กรประกอบด้วยคนเก่งที่มีความรับผิดชอบและวัฒนธรรมเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบหยุมหยิมมาควบคุมมากมาย ผู้นำสามารถปลดล็อกกฎที่ไม่จำเป็นต่างๆ ให้พนักงานมีอิสระในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ องค์กรจะดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์โดยไม่เกิดความวุ่นวาย
         

จากแนวทางทั้งสามขั้นตอนนี้จะเห็นว่าสูตรความสำเร็จของ Netflix เน้นไปที่ “คน”มากกว่า “กระบวนการ” อย่างชัดเจนพวกเขาให้ความสำคัญกับการดึงดูดและรักษาคนที่เก่งที่สุดสนับสนุนการสื่อสารที่โปร่งใส จริงใจ และยืดหยุ่นกฎเกณฑ์ให้เท่าที่จำเป็นเท่านั้นดังที่ Erin Meyer เน้นย้ำว่า “Value people overprocess, Emphasize innovation over efficiency, Lead with context, not control”หรือให้คุณค่ากับ “คน” มากกว่า “กระบวนการ”มุ่งเน้นนวัตกรรมมากกว่าประสิทธิภาพ และชี้นำด้วยบริบทมากกว่าการบังคับควบคุม

ตัวอย่างที่Erin นำมาเล่าให้ฟังในปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่าแนวคิดเหล่านี้สร้างความแตกต่างได้จริง เช่น เธอเล่าว่า“Great Workplace” สำหรับ Netflix ไม่ได้หมายถึงออฟฟิศสวยหรูหรืออาหารกลางวันฟรี แต่คือการที่พนักงานได้ทำงานท่ามกลางเพื่อนร่วมงานชั้นยอดต่างหาก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมNetflix ยอมจ่ายแพงเพื่อรักษาคนเก่ง และใช้ “KeeperTest” หรือบททดสอบคัดกรองพนักงานอยู่เสมอ (ถามตัวเองว่า “ถ้าลูกทีมคนนี้จะลาออก เราจะพยายามยื้อเขาไว้หรือโล่งใจที่เขาไป?” หากรู้สึกโล่งใจ แปลว่าอาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนคน) นอกจากนี้ Netflixยังเคยทดลองจ้างนักแสดงมารับบทพนักงานที่ผลงานแย่และมีทัศนคติลบเพื่อศึกษาผลกระทบต่อทีม และพบว่าคนๆเดียวที่พลังลบก็สามารถดึงผลงานของทั้งทีมให้ตกลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ยืนยันว่า“Performance is contagious” – ผลงานที่ย่ำแย่ของคนหนึ่งสามารถระบาดไปสู่คนอื่นๆได้ Netflix จึงเลือกที่จะรักษาเฉพาะคนที่ใช่ที่สุดไว้เท่านั้นเพื่อปกป้องมาตรฐานผลงานโดยรวม

ErinMeyer จะถ่ายทอดบทเรียนทั้งหมดนี้ให้กับผู้ฟังในงาน PMAT2025โดยสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นคล่องตัวและกระตุ้นนวัตกรรมในแบบฉบับNetflix อย่างเป็นขั้นตอน เช่น การเพิ่ม Talent Density, การปลูกฝัง Radical Candor, การให้อิสระควบคู่กับความรับผิดชอบ(Freedom and Responsibility) และการใช้ Keeper Test คัดกรองทีม ตลอดจนตัวอย่างจริงว่าบริษัทอื่นๆก็สามารถปรับใช้แนวทางนี้ได้อย่างไร ไม่มากก็น้อย เพื่อยกระดับผลงานและความคิดสร้างสรรค์ของคนในองค์กร

 

เหตุผลที่3:เพิ่มพูนทักษะการทำงานข้ามวัฒนธรรมด้วยแนวคิด The CultureMap

ปัจจุบันการทำงานร่วมกับคนต่างวัฒนธรรมกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับทีมต่างชาติการบริหารสาขาในประเทศอื่น หรือติดต่อกับลูกค้าและคู่ค้าจากทั่วโลกความท้าทายที่มักเกิดขึ้นคือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่มองไม่เห็น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในการสื่อสารและการประสานงานโดยไม่รู้ตัว Erin Meyer ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งและนำเสนอไว้ในหนังสือชื่อดังของเธอ“The Culture Map: Breaking Through the Invisible Boundaries of Global Business” ซึ่งกลั่นกรองจากงานวิจัยและประสบการณ์จริงในการทำงานกับผู้คนหลายเชื้อชาติแนวคิด Culture Map ช่วยให้เราเข้าใจว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมส่งผลต่อพฤติกรรมการสื่อสาร วิธีคิด และรูปแบบการทำงานอย่างไร โดย Erin ได้นำเสนอกรอบแนวคิด8 มิติทางวัฒนธรรม (เช่นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมาหรืออ้อมน้อม, การให้ข้อเสนอแนะเชิงลบแบบตรงหรืออ้อม,การตัดสินใจแบบรวมกลุ่มหรือจากเบื้องบน, การตรงต่อเวลาแบบยืดหยุ่นหรือเข้มงวดฯลฯ) เพื่อใช้ ทำแผนที่ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประเทศต่างๆและหาแนวทางปรับตัวเมื่อต้องทำงานข้ามวัฒนธรรม

ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของ Culture Map คือ เรื่องการวิจารณ์ในการทำงานErin อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่าการให้ feedback สามารถจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมได้โดยง่ายคนจากบางวัฒนธรรมเชื่อในการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาและถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ช่วยให้พัฒนาขึ้นในขณะที่คนอีกวัฒนธรรมหนึ่งอาจรู้สึกถูกโจมตีและเสียหน้าจากคำติชมตรงๆ นั้น เพียงประโยคเดียวก็อาจทำให้เพื่อนร่วมงานต่างสัญชาติเกิดความไม่พอใจกันซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดจากพื้นหลังทางวัฒนธรรมที่ต่างกันล้วน ๆไม่ใช่ความตั้งใจไม่ดีของฝ่ายใดเลย นอกจากนี้ Erin ยังยกตัวอย่างว่าในการประชุมระหว่างชาตินั้นบ่อยครั้งที่เราจะเห็นผู้เข้าร่วมจากบางประเทศพูดแสดงความคิดเห็นอย่างแข็งขันขณะที่อีกบางประเทศแทบไม่พูดอะไรเลย ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนความแตกต่างด้าน สไตล์การสื่อสารและลำดับชั้นอำนาจที่ถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรม เช่นวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับการสื่อสารตรงไปตรงมาและความเท่าเทียมอาจส่งเสริมให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็นโต้แย้งผู้บริหารในที่ประชุมได้อย่างอิสระแต่สำหรับวัฒนธรรมที่เคารพลำดับขั้นอย่างเคร่งครัดการแสดงความเห็นขัดแย้งต่อหน้าผู้นำอาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม เป็นต้น

แนวคิดTheCulture Map ของ Erin Meyer จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพื่อชี้ว่าหนึ่งวัฒนธรรมดีกว่าอีกวัฒนธรรมแต่เพื่อสร้าง“ความฉลาดทางวัฒนธรรม” (Cultural Intelligence) ให้เราปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหนังสือของเธอได้เสนอเครื่องมืออย่าง Country Mapping Tool ที่ให้องค์กรทดลองเปรียบเทียบลักษณะภาพรวมของวัฒนธรรมระหว่างประเทศที่ต้องทำงานด้วยเพื่อเตรียมรับมือช่องว่างที่อาจเกิดขึ้น และ Corporate Culture Map สำหรับองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีสาขากระจายทั่วโลกให้สามารถออกแบบวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับบริบทหลากหลายแต่ยังคงเป้าหมายเดียวกันได้

ในงาน PMAT2025 นี้ Erin Meyer จะจัด workshop “The Culture Map: How people think, communicate, and get things done around theworld” ซึ่งเป็น Part 2 ของ Exclusive Masterclass เธอจะลงรายละเอียดกรณีศึกษาจริงและนำผู้เข้าร่วมค้นหาคำตอบสำหรับโจทย์การทำงานข้ามวัฒนธรรมที่หลายคนสงสัยเช่น “จะใช้ประโยชน์จากทีมที่มีความหลากหลายได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่ถือเป็น feedback เชิงสร้างสรรค์ในวัฒนธรรมหนึ่งกลับถูกมองว่าเป็นการรุนแรงในอีกวัฒนธรรม?”หรือ “จะประชุมทีมที่กระจายอยู่หลายประเทศอย่างไรให้ทุกคนมีส่วนร่วมเมื่อบางวัฒนธรรมมองการตั้งคำถามว่าเป็นการสนับสนุนแต่บางวัฒนธรรมกลับมองว่าเป็นการท้าทาย?” workshop นี้จะสอนผู้เข้าร่วมให้ถอดรหัสความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพื่อลดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน และพัฒนากลยุทธ์การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติได้อย่างราบรื่นกล่าวโดยสรุปก็คือ เราจะได้เรียนรู้วิธีมองโลกผ่านแผนที่วัฒนธรรมของ Erin Meyer ทำให้การทำงานในเวทีสากลไม่ใช่อุปสรรคที่น่ากังวลอีกต่อไปแต่กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างทีมที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน

เหตุผลที่4:เตรียมองค์กรและคนของคุณให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง (Context,Culture and L&D in Disruption)

การบริหารคนในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง (Disruption) เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ Erin Meyer เชี่ยวชาญและมุ่งเน้นจากการบรรยายครั้งก่อนของเธอในปี 2024 เราได้ข้อคิดว่า ผู้นำยุคใหม่ต้องเผชิญกับ “Dilemma” หรือการตัดสินใจที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เสมอ เช่นเราควรบอกข่าวการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะกระทบพนักงานล่วงหน้าดีหรือไม่ (โปร่งใส vs.รักษาเสถียรภาพทีม)หรือเมื่อมีพนักงานเสนอไอเดียใหม่ที่เราคิดว่าไม่น่าจะเวิร์กเราควรให้โอกาสลองทำดูหรือไม่ (ยอมเสี่ยงเพื่อสร้างนวัตกรรม vs. กันความผิดพลาด)รวมไปถึงคำถามที่ว่าเราควรรักษาพนักงานที่ขยันตั้งใจแต่ผลงานปานกลางไว้หรือปล่อยเขาไปดี(เห็นใจรายบุคคล vs. มาตรฐานผลงานของทีม) คำถามเหล่านี้ล้วนไม่มีคำตอบตายตัวแต่ แนวทางที่ Erin Meyer นำเสนอคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นปรับตัวเร็ว และให้ความสำคัญกับ “บริบท” มากกว่า “การควบคุม” เพื่อช่วยให้ผู้นำตัดสินใจเรื่องยากๆได้อย่างมีประสิทธิผล

หนึ่งในหลักการสำคัญที่Erin เน้นย้ำคือ “Lead with context, not control” – ให้ข้อมูลและบริบทแก่พนักงานแทนการบังคับสั่งการอย่างละเอียดซึ่งปรัชญานี้เองที่ Netflix ใช้สร้างความคล่องตัวในการทำงานท่ามกลางความไม่แน่นอนเมื่อผู้นำเปิดเผยข้อมูลมากที่สุดและวางกรอบวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน (context) พนักงานที่มีความสามารถจะสามารถตัดสินใจเองได้อย่างมีเหตุผลโดยไม่ต้องถูกควบคุมทุกฝีก้าว(not control) ผลลัพธ์คือองค์กรที่ตอบสนองเร็วกล้าลองผิดลองถูก และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น สอดคล้องกับสิ่งที่ ReedHastings CEO ของ Netflix กล่าวไว้ว่า เมื่อเขาให้อิสระกับพนักงานมากขึ้นเขากลับพบว่า “ความอิสระไม่ได้ตรงข้ามกับความรับผิดชอบหากแต่เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความรับผิดชอบต่างหาก –ถ้าเราปฏิบัติกับพนักงานอย่างผู้ใหญ่ พวกเขาก็จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่” แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าการมอบความไว้วางใจและการเปิดโอกาสให้พนักงานตัดสินใจสามารถจูงใจให้พนักงานมี Ownership และความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์มากขึ้นไม่ใช่น้อยลง

ErinMeyer อธิบายเพิ่มเติมผ่านกรณีศึกษาของ Netflix ว่า “ปัญหาคือถ้าให้อิสระพนักงานก็จะได้ความคิดสร้างสรรค์และการเติบโตแต่ถ้าไม่มีกฎองค์กรก็อาจวุ่นวาย” ทางออกคือต้องหาสมดุลที่ใช่ผ่านการทดลองแนวทางใหม่ๆซึ่ง Netflix เลือกแก้สมการนี้ด้วยการสร้างทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งที่ไว้ใจกันได้ (Talent Density) เปิดโอกาสให้วิจารณ์และเตือนกันตรงๆ (Candor) แล้วจึงค่อยลดกฎระเบียบลงการตัดสินใจหลายอย่างที่ดูสวนทางกับแนวปฏิบัติเดิม ๆนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด เช่นการสื่อสารที่โปร่งใสล่วงหน้าช่วยสร้างความเชื่อใจในทีมระยะยาวแม้ระยะสั้นอาจทำให้บางคนกังวล หรือการปล่อยให้พนักงานลองทำตามไอเดียของตนเองแม้จะเสี่ยงล้มเหลว ก็ให้บทเรียนที่มีค่ามากกว่าการสั่งห้ามตั้งแต่แรก แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ (L&D) ในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อองค์กรสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลองผิดลองถูกและเปิดรับข้อผิดพลาดอย่างสร้างสรรค์

ผู้เข้าร่วมงาน PMAT2025 จะได้รับแนวคิดและเครื่องมือในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จากประสบการณ์จริงของ Erin Meyer โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง วัฒนธรรมความโปร่งใส (Transparency) ที่ช่วยให้พนักงานพร้อมปรับตัวเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง, การสร้าง ระบบ feedback ที่ทำให้การเรียนรู้พัฒนาเกิดขึ้นต่อเนื่องในทีม,หรือการตัดสินใจด้านทรัพยากรบุคคลที่ยากลำบากอย่างมีหลักการ (เช่นแนวทาง Keeper Test ของ Netflix ในการรักษาคนเก่งและคัดคนที่ไม่สอดคล้องออก)เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ HR และ L&D ยุคใหม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมความแกร่งให้องค์กรของตนในยุคที่อะไรๆก็ไม่แน่นอนได้เป็นอย่างดีหลังจบการฟังคุณจะได้ทั้งกรอบความคิดใหม่และตัวอย่างเชิงปฏิบัติในการพัฒนาคนและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับมือกับอนาคตไม่ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม

 

เหตุผลที่5:สัมผัสประสบการณ์ Masterclass สุดเอ็กซ์คลูซีฟและเครือข่ายHR ระดับนานาชาติ

การกลับมาของ Erin Meyer ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการบรรยายธรรมดา แต่เป็น ประสบการณ์การเรียนรู้สุดexclusive แบบเต็มรูปแบบ ผู้เข้าร่วมงานจะได้ฟังทั้งปาฐกถาพิเศษ (Keynote) และร่วม Masterclass 2 ตอน ที่เธอตั้งใจออกแบบเนื้อหาให้เหมาะกับบริบทประเทศไทยโดยเฉพาะไม่มีสอนที่ไหนมาก่อน นับเป็น “first-ever Masterclass in Thailand” ของ Erin Meyer ที่หาฟังไม่ได้ง่ายๆและแน่นอนว่าเธอเตรียมเนื้อหาสดใหม่มาเพื่อผู้เข้าร่วมงานนี้โดยเฉพาะ

ใน Part1 ของ Masterclass คุณจะได้เจาะลึกกรณีศึกษา“No Rules Rules in Action” ที่จะลงรายละเอียด วิธีประยุกต์หลักการวัฒนธรรมแบบ Netflix เข้ากับองค์กรตั้งแต่การสร้างวัฒนธรรมให้หยั่งรากลงในพฤติกรรมพนักงานการสร้างทีมคนเก่งแน่นองค์กร การปลูกฝังการให้ feedback อย่างตรงไปตรงมาไปจนถึงการสร้างระบบที่ให้อิสระและความรับผิดชอบควบคู่กันอย่างได้ผล จากนั้นใน Part2 คุณจะได้ฝึกใช้ The Culture Map กับสถานการณ์จริงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรมเรียนรู้การนำทีมและสื่อสารในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายเพื่อให้คุณสามารถนำ framework ของ Erin ไป ปรับใช้แก้ปัญหาการบริหารคนข้ามวัฒนธรรมในชีวิตจริงขององค์กรคุณได้ทันทีทั้งสองช่วงรวมกันเป็น ประสบการณ์การเรียนรู้ระดับ world class อย่างแท้จริง ที่คุณจะไม่ได้แค่ฟังทฤษฎีแต่จะได้ลงมือคิด ลงมือฝึก และโต้ตอบถาม-ตอบกับวิทยากรโดยตรงสงสัยตรงไหนก็ถามเธอได้ทันที ซึ่งหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้จากการอ่านหนังสือเองแน่นอน

นอกจากเนื้อหาเข้มข้นแล้วงานนี้ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายสำหรับผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนร่วม masterclass กับ Erin Meyer จะได้รับ หนังสือ “NoRules Rules” ฉบับเซ็นชื่อโดยผู้เขียน เป็นที่ระลึกกลับบ้านไปด้วยและยังมีโอกาสร่วมรับประทานอาหารกลางวันและถ่ายภาพกับ Erin อย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ในงาน PMAT 60 ปีนี้ยังเป็นศูนย์รวมของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านHR กว่า 500 คนจากองค์กรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศคุณจะได้มีโอกาส สร้าง Networking กับเพื่อนร่วมวิชาชีพแลกเปลี่ยนมุมมอง และสร้าง connection ใหม่ๆที่อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของคุณต่อไปการได้อยู่ท่ามกลางสังคมแห่งการเรียนรู้เช่นนี้จะช่วยจุดประกายไอเดียและวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้กับคุณได้อย่างแน่นอน

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าทำไมนักวิชาชีพด้าน HR, L&D และผู้นำองค์กรทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับแนวคิดของ Erin Meyer และนี่คือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้จากเธอโดยตรงถึงประเทศไทยอย่าพลาดที่จะมาร่วมงาน HR DAY-PMAT 60th Anniversary HR International Conference 2025 ซึ่งจะจัดขึ้น วันที่ 12–13 พฤศจิกายน 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดย Erin Meyer มีกำหนดการขึ้นเวที ในวันที่12 พฤศจิกายน พร้อมทั้ง Masterclass สุดพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้นผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ 60th.pmat.or.th หรือสอบถามสมาคมการจัดการงานบุคคลฯโทร. 095-042-9327


website อ้างอิง
Erin Meyer ผู้เขียน The Cultural Map และ Netflix NoRules Rules ขวัญใจผู้บริหารและสายงาน Corporate Culture |Techsauce

สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้จากงานPMATTHAILAND LEARNING & DEVELOPMENT FORUM 2024 : DAY 1 | HREX.asia
จง 'Feedback' ให้เป็น แบบ ‘Diamond Cutter’ นักเจียระไนคำพูดให้เฉียบคม

Tag:
Article
Share this post:
ภคภัค สังขะสุนทร
People Director, Finnomena Co.,Ltd

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
Article
7 เหตุผลที่คุณต้องมาฟัง Dave Ulrich ในงาน HR DAY – PMAT 60th Anniversary International HR Conference
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ก่อนหน้าที่ทาง PMAT จะได้มีโอกาสเชิญบุคลากรผู้ทรงคุณค่าในวงการ HR อย่างศาสตราจารย์ Dave Ulrich มาปรากฏตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกนั้น หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า HR Competency กันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า Employee Champion (ผมแปลเองเป็นภาษาง่าย ๆ ว่า ผู้ชนะใจพนักงาน) เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว โลกของเรายังไม่ก้าวหน้ารวดเร็วเท่ากับยุคปัจจุบัน การเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ใน internet ก็ทำได้อย่างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในระดับที่ “ทันกับเวลา” จึงทำให้ HR หลาย ๆ ท่านเจอกำแพงอุปสรรคของการพัฒนาตนเอง เพราะเนื่องจากยังไม่เข้าใจบริบทในภาพกว้างของโลก / ธุรกิจ จึงยึดติดกับการพัฒนางานของตนเองในระดับปฏิบัติการมากกว่า อาทิเช่น ทักษะการใช้เครื่องมือนำเสนอ หรือทักษะการใช้การจัดเก็บความรู้ แต่เรายังไม่เข้าใจถึงแก่นว่าเพราะอะไรทำไมเราถึงต้องลุกขึ้นมาปัดฝุ่นการทำงานของเรา (HR Role and Competency) ให้ขึ้นมามีบทบาททางธุรกิจมากขึ้น และคนที่สะกิดบอกทั้งโลกว่า “เฮ้! งาน HR มันคืองานในระดับธุรกิจนะ” ก็คือ อาจารย์ Dave นี่เอง
October 7, 2025
Article
“ทำไม HR ต้องมีความกล้า” คำถามที่ท้าทายจาก Dave Ulrich
ชื่อของ Dave Ulrich ได้เป็นที่ยอมรับจากนักบริหารและผู้นำจากทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งใน Guru ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลทางความคิดในระดับที่ปรับโฉมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะ เพราะสิ่งที่ Dave Ulrich นำเสนอผ่านการเขียน การเดินทางไปบรรยายทั่วโลกด้วยมุมมอง แนวคิดที่ตกผลึกมาจากงานวิจัยอย่างลงลึกต่อเนื่อง ทำให้กรอบแนวคิดแต่ละช่วงเวลาของท่านได้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการบริหารไปทั่วโลก
October 5, 2025
Article
Special Interview คุณพารณอิศรเสนา ณ อยุธยา
คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นอีกหนึ่งผู้มีบทบาทสำคัญในภาครัฐวิสาหกิจ ราชการ องค์กรธุรกิจ ภาคเอกชน การพัฒนาทรัพยากรมุนษย์และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีบทบาทในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยจนประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ จึงได้รับการประกาศเกียรติคุณ จากหลายๆ องค์กรและสถาบัน
September 30, 2025