เวที Special Seminar: Powering People, Fueling Futures เสริมพลังคน สร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยศักยภาพและสุขภาวะ หนึ่งในกิจกรรมพิเศษ ในการแถลง ข่าว The Power of People: Fueled by Well-being, Run for Impact วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ
ถ่ายทอดบทสนทนาที่มีพลัง เปิดมุมคิดใหม่ ของ “การสร้างองค์กรที่แข็งแรง” ที่ต้องเริ่มจากการดูแล “คน” อย่างแท้จริง ทั้งในมิติของกาย ใจ ความสัมพันธ์ และความหมายของชีวิต
บนเวทีประกอบด้วยผู้นำทางความคิดจากหลากหลายวงการ ได้แก่ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณอัฐ ทองแตง ประธานคณะผู้บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์, ประธาน Human Capital Club และกรรมการบริหารสมาคม PMAT พร้อมดำเนินรายการโดย ดร.หลุยส์ คริสธานินทร์ ประธานโครงการ Thailand People Management & Well-Being Awards, กรรมการบริหารสมาคม PMAT, TLCA HCM Club และ CEO บริษัท Eureka Global
เปิดประเด็นมาด้วย มุมมองของผู้นำองค์กรต่อการส่งเสริม สุขภาวะ (Well-being) ในมุมมองของผู้บริหารองค์กร สุขภาวะไม่ใช่เรื่องรอง ไม่ใช่ภารกิจเสริม แต่คือ “หัวใจ” ของการบริหารคนในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เพราะวันนี้ คนทำงานไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือน หรือโต๊ะทำงานที่ดี แต่ต้องการ “คุณภาพชีวิต” ที่ทำให้เขาอยากเติบโตไปกับองค์กร
สุขภาวะ (Well-being) คือความสุข ความปลอดภัย และความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน คือการที่คนรู้สึกว่า “องค์กรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” การส่งมอบวัฒนธรรมที่ทำให้คนลุกขึ้นสู้ได้แม้ในวันที่ยากลำบาก สร้าง Resilience ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน คือการที่ผู้นำเข้าใจว่า คนเผชิญแรงกดดันจากรอบด้าน จึงต้องออกแบบองค์กรให้เป็นพื้นที่ “สนับสนุนส่งเสริม” และที่สำคัญที่สุด สุขภาวะต้องไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่ต้องฝังอยู่ใน DNA ขององค์กร เป็น Core Strategy ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมพาคนไปสู่อนาคต
องค์กรที่สามารถรวมพลังเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี คือองค์กรที่มีวินัย มีเป้าหมายร่วม และมีแรงขับภายใน
การสร้าง Well-being ไม่ได้อยู่ที่ Facility แต่อยู่ที่การออกแบบวัฒนธรรม ความใส่ใจ และการมีส่วนร่วม Healthy Organization จึงไม่ใช่แค่เรื่องสวัสดิการ แต่คือระบบที่สร้างแรงต้านต่อ Burnout และ Turnover
เมื่อร่างกายพร้อม ใจมั่นคง ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ผลลัพธ์ทางธุรกิจก็จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อผู้นำเชื่ออย่างแท้จริงว่า “สุขภาวะของคน” คือกลไกแห่งความยั่งยืนหากอยากให้ CEO เห็นความสำคัญของสุขภาวะ อย่าขอเพียงงบประมาณ แต่จงแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเข้มแข็ง องค์กรก็จะวิ่งได้เร็วขึ้น มั่นคงขึ้น และไกลยิ่งกว่าที่เคยไปถึง
เมื่อเสวนาถึง สุขภาวะทางใจ ประเด็น ความเครียด ความหมดไฟ และภาวะซึมเศร้าซึ่งกำลังกลายเป็นวิกฤตเงียบในที่ทำงาน หลายคนสูญเสีย Passion ในชีวิต ถูกนำมาร่วมพูดคุย ความเครียด โดยไม่รู้ตัว กดดัน สะสม และเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ระเบิดออกมาในรูปแบบที่องค์กรไม่อาจรับมือทัน ปัจจุบันแม้จะมีเครื่องมือวัดความเครียดผ่าน Application “หมอพร้อม” ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพจิต แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “ความใส่ใจ” จากเพื่อนร่วมงานและ “สติ” จากผู้นำ องค์กรที่สร้างวัฒนธรรมแห่งสติ (Mindfulness Organization) คือองค์กรที่เข้าใจว่าการทำงานที่ดี เริ่มจากความสัมพันธ์ที่ดี และการปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย ผู้นำที่มีสติ ไม่ใช่แค่บริหารงานได้ดี แต่ยังสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทีมรู้สึกว่าพวกเขาไม่ต้องสู้เพียงลำพัง เพราะการมีสติไม่ใช่แค่การจัดการกับความเครียดในปัจจุบัน แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่ทำให้องค์กรอยู่รอด
ประเด็นสำคัญของเวทีนี้ คือ ทำอย่างไรองค์กรจะสร้างสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนได้ แนวคิดจากทั้ง 3 ผู้นำองค์กรสะท้อนชัดเจนว่า การสร้างสุขภาวะไม่ใช่ด้วยโครงการครั้งคราว แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยกลไกที่ผสานผู้นำ ระบบ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ต้องเปลี่ยนจากการ “ดูแลเมื่อมีปัญหา” มาเป็น “ออกแบบเพื่อป้องกัน” และฝังสุขภาวะให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร (Well-being Strategy) สุขภาวะในองค์กรจะไม่เกิดขึ้นจริง หากผู้นำไม่สื่อสาร และระบบไม่หนุน ดังนั้น Leader ต้อง “สื่อสาร” จนคนเชื่อ และ “ทำให้เห็น” จนคนอยากทำตาม (Leadership Signaling) ในสมการความสำเร็จนี้ HR ต้องออกแบบพื้นที่สื่อสารให้ผู้นำได้เป็น Role Model ที่ทรงพลัง พร้อมส่งต่อองค์ความรู้เรื่อง Well-being ให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงทุกคน เพราะสุขภาวะจะยั่งยืนได้ ไม่ใช่แค่เมื่อเรารณรงค์ แต่เมื่อมันฝังอยู่ในระบบ HR ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การสรรหา คัดเลือก การพัฒนา การประเมินผลงาน ไปจนถึงการให้รางวัล ทำให้ทุกกลไกต้องสอดรับกัน (Behavioral Alignment) เมื่อระบบและผู้นำส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน พนักงานจะค่อยๆ ปรับ Mindset และพฤติกรรม จน Well-being กลายเป็นวัฒนธรรมโดยไม่ต้องสั่ง
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เวทีนี้ไม่ได้พูดถึง Well-being แค่ในฐานะ “สวัสดิการ” แต่พูดถึงในฐานะ รากฐานขององค์กรที่มีชีวิต องค์กรที่เข้าใจว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากตัวเลขหรือกลยุทธ์เท่านั้น แต่เกิดจากคนที่ “รู้สึกดี” กับการทำงาน คนที่ “ยังมีแรง” จะตื่นมาทำสิ่งที่มีความหมายในทุกเช้า
สุขภาวะจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก สุขภาวะคือเรื่องของกลยุทธ์ คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว คือการสร้างทีมที่แข็งแรง โดยไม่ละเลยความอ่อนแอของแต่ละคน และเป็น การทำให้คนรู้สึกว่า “ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน...แต่คือที่ที่ฉันได้เติบโต”
บทสนทนาในเวทีนี้พาเราย้อนกลับไปยังแก่นของการบริหารคน นั่นคือ “การเห็นคุณค่าของมนุษย์” และก้าวไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ ที่องค์กรจะเติบโตได้จริง ก็ต่อเมื่อ “คนของเราเติบโตไปด้วยกันทั้งกาย ใจ และเป้าหมายชีวิต” นี่ไม่ใช่แค่การเสวนา แต่คือการประกาศเจตนารมณ์ครั้งใหม่ว่า การสร้างอนาคต เริ่มต้นจากการใส่ใจคนในวันนี้