>
3 ไอเดียชวนใกล้ชิด ปิดช่องว่างระหว่างวัยในองค์กร
July 4, 2023

3 ไอเดียชวนใกล้ชิด ปิดช่องว่างระหว่างวัยในองค์กร

Generation Gap หรือปัญหาช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน เป็นปัญหาสุดแสนจะคลาสสิคที่ผู้เขียนเองที่ทำงานในแวดวงบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ยิน ได้ฟังกันตั้งแต่ปีแรกที่ทำงาน จนกระทั่งตอนนี้มากกว่าสิบปีแล้ว อาจจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยตรงที่ว่า เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน ก็จะมองว่า เราจะรับมือกับคน Generation Y ได้อย่างไร จะจัดการอย่างไรดี พวกเขาทั้งไม่สู้งาน มีความคิดแตกต่างแหวกแนวผิดขนบ แถมไม่อยากจะยอมรับกับแนวทางการบริหารของพี่ๆ Generation X และ Baby Boomer เลย จนมาปัจจุบัน นอกจากองค์กรของเราจะมีทั้ง Generation Y /Generation X และ Baby Boomer แล้ว เรายังมีน้องใหม่ในองค์กรอย่าง Generation Z ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้นไม่แปลกเลยที่เราจะยังคงได้ยินปัญหาความขัดแย้งของช่องว่างระหว่างวัยในองค์กรอยู่อย่างนี้โดยไม่น้อยลงไปเลยแต่อย่างใดมิหนำซ้ำยังจะเห็นภาพของปัญหานี้ที่เข้มข้นมากขึ้นเสียด้วยซ้ำเพราะจะว่าไปแล้วในองค์กรได้เพิ่มการรวมตัวของ Generation จาก 3 Generation เป็น 4 Generation ซึ่งก็ยิ่งพบช่องว่างกันมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าการที่จะมาชี้นิ้วและแปะป้ายว่าเธอเป็นอย่างนั้นฉันเป็นอย่างนี้ พวกเธอเป็นอย่างนั้น พวกฉันไม่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลย แล้วอะไรล่ะที่จะสามารถแก้ไขหรือทำให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้ ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น จะขอชวนมาทำความเข้าใจกับแต่ละ Generation กันอีกสักที แต่ไม่ใช่ในมุมการแปะป้ายนิสัยหากแต่เป็นมุมมองของพวกเขาต่อการทำงานในยุคปัจจุบันว่าใน 4 Generation ทั้ง Baby Bommer/Gen X/ Gen Y และ Gen Z มีความแตกต่างกันจริงๆหรือไม่ จากผลสำรวจของ PWC Asia pacific hopes and fears survey 2023 ที่ได้สำรวจคนทำงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค จำนวนกว่า 19,502 คน ในปี 2023 นี้แน่นอนว่ามีประเทศไทยอยู่ในแบบสำรวจนี้ด้วย ซึ่งหนึ่งในผลสำรวจนี้ได้ทำการสำรวจมุมมองต่อการทำงาน และความต้องการต่อการทำงานของคนในแต่ละ Generationซึ่งได้ค้นพบข้อน่าสนใจสำหรับแต่ละ Generation ที่มองไปยังการทำงานปัจจุบันและอนาคต ดังนี้

Baby Boomer (ช่วงอายุปัจจุบัน 59-77 ปี)

·      กว่า 61% พอใจกับหน้าที่การงานของตนเองในปัจจุบันโดย 24% ทำงานในลักษณะของ Parttime

·      47% แทบจะไม่หาโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆแล้ว รวมไปถึงไม่ค่อยจะให้ Feedback

·      44% แทบจะไม่มองหาโอกาสที่จะได้รับ Feedback เพื่อปรับปรุงพัฒนาตนเองแล้ว

·      44% แทบจะไม่ได้นำไอเดียใหม่ๆมาให้กับทีมเลย

Gen X (ช่วงอายุปัจจุบัน 43-58 ปี)

·      เป็นกลุ่มที่พอใจกับหน้าที่การงานในปัจจุบันของตนเองมากที่สุด (52%) (ซึ่งปีที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่มGen Z)

·      ชอบที่จะได้รับการจ้างงานเป็นลักษณะงานประจำ (24%)

·      41% รู้สึกว่าการผลตอบแทนจากการทำงานในปัจจุบันยังไม่ยุติธรรมกับตนมากนัก

·      46%รู้สึกว่าไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เมื่ออยู่ที่ทำงาน

·      39%รู้สึกไม่ได้รับการพัฒนาทักษะที่จะทำให้ตนเองเติบโตในอนาคต (ระยะ5 ปี)

Gen Y (ช่วงอายุปัจจุบัน 27-42 ปี)

·      62% ชอบทำงานในลักษณะ Hybrid

·      48% เชื่อว่าทักษะในงานของตนเองจะมีความเปลี่ยนแปลงไป

·      62% พยายามที่จะหาโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ

·      58% พยายามที่จะหา Feedback เพื่อมาพัฒนาตนเองและ 55% พยายามที่จะให้ Feedback กับผู้อื่น

·      57% เป็นผู้ที่นำไอเดียใหม่ๆเข้ามาสู่ทีมงาน

Gen Z (ช่วงอายุปัจจุบัน18-26 ปี)

·      51% ต้องการขึ้นเงินเดือน 49% ต้องการเลื่อนตำแหน่งและ 35% ต้องการย้ายที่ทำงานใน 12 เดือน

·      25% ของ Gen Z มีงานที่สอง

·      29% ชอบทำงานแบบ Work Anywhere

·      52% เชื่อว่านายจ้างของตนเองจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในทศวรรษหน้าถ้าหากยังใช้แผนงานปัจจุบัน

·      36% ไม่เชื่อว่านายจ้างของตนเองสนใจที่จะช่วยแก้ไขปัญหาโลกร้อน

อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ คนทำงานอายุน้อยๆบางคนอาจจะรู้สึกว่าใช่เลยก็พวกคนมีอายุหัวดื้อเหล่านี้แหละที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยส่วนคนทำงานอายุมากๆอาจจะมีความรู้สึกว่า อวดดีเหลือเกินนะพวกเด็กใหม่ๆพวกนี้พวกเธอยังไม่รู้อะไรอีกมากมายเลยต่างหากล่ะ ส่วนคนทำงานในระดับกลางๆอาจจะมีความรู้สึกเห็นด้วยเหลือเกินว่าใช่เลย ทุกวันนี้เป็นเดอะ แบกของทีมจนหลังจะหักอยู่แล้ว เห็นด้วยสุดๆไปเลย แต่บทความนี้ก็อยากจะเชิญชวนให้มองในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมอีกสักหน่อย

เพราะจากผลการสำรวจนี้ นอกจากเราจะได้เห็นสิ่งที่กลุ่มต่างๆได้คิดเห็นออกมาแล้วหากเรามองลึกลงไปจะพบว่าความต้องการในแต่ละช่วงวัยก็ส่งผลให้ความต้องการหรือมุมมองของเขาต่อการทำงานก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น น้อง Generation Z ก็มีความมั่นใจในตนเองต้องการที่จะพิสูจน์ฝีมือและมีไอเดียใหม่ๆรวมทั้งมั่นใจในไอเดียใหม่ๆเหล่านั้นมากๆเสียด้วย ส่วนพี่ในกลุ่ม Generation Y นั้นก็พยายามทำหน้าที่เป็นโซ่ข้อกลางหาจุดลงตัวและพยายามพัฒนาตนเองให้ทันรุ่นน้องและรุ่นพี่ของตนเอง ส่วน Generation X ก็เริ่มมีความเหนื่อยล้าและแสวงหาความมั่นคงกับตนเองมากยิ่งขึ้นส่วนพี่ใหญ่ชาว Baby Boomer นั้นก็เริ่มที่จะใช้ชีวิตที่นิ่งมากขึ้นพร้อมรับบทบาทเป็นที่ปรึกษาของน้องๆเสียมากกว่า

เพราะความแตกต่างจากความต้องการเหล่านี้จึงไม่แปลกเลยที่องค์กรแทบทุกที่จะต้องเจอกับปัญหาช่องว่างระหว่างวัยจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ปัญหาก็คือชะตานี้เราจะจัดการได้อย่างไรซึ่งบทความนี้จะชวนชาว HR พิจารณามุมมองเพื่อสร้างความใกล้ชิดเพื่อการแก้ไขปัญหาด้วย3 แนวทาง ดังนี้

1) ออกแบบและจัดการ Employee Experience ให้มีความโอบรับต่อคนทุกช่วงวัย (Inclusive) มากขึ้น - อย่างที่กล่าวไว้ในกลางบทความนี้เราจะพบว่าแต่ละกลุ่มจะมีความต้องการที่แตกต่างกันฉะนั้นก่อนที่จะไปปรับคนแต่ละคน HR สามารถสร้างระบบที่ใกล้ชิดกับความต้องการของแต่ละช่วงวัยได้โดยสามารถแยกย่อยได้อีกสามมิติ คือ

มิติค่าจ้างและสวัสดิการ – ไม่ได้หมายความว่าต้องเลื่อนตำแหน่งให้ทุกปีแต่ถ้าหากเราพิจารณามองดูความต้องการแต่ละช่วงวัยเราอาจจะมีแผนที่เน้นแต่ละกลุ่มที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเช่นการพัฒนาทักษะใหม่ๆให้ Gen Y และ Gen X มีเรื่องของการให้คำปรึกษาด้านการเงิน ตอบสนอง Gen Z และ Gen Y มีการลาที่สนับสนุนคนในรุ่น Baby boomer ที่มีปัญหาสุขภาพที่มากขึ้นเป็นต้น

มิติการจัดการเวลาทำงาน - การทำงานแบบยืดหยุ่น เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ได้ทั้งสี่กลุ่มโดยมีการควบคุมเป้าหมาย กำหนดผลลัพธ์ของงานที่ชัดเจนก็จะช่วยสร้างผลิตภาพให้กับงาน และตอบสนองความต้องการของทุกกลุ่มได้

มิติการออกแบบที่ทำงาน -มิตินี้หลายคนอาจจะมีความรู้สึกว่าถ้าหากเราทำงานอย่างยืดหยุ่นแล้วทำไมเรายังต้องสนใจเรื่องการออกแบบที่ทำงานอีกแต่จริงๆแล้วแม้ว่าการทำงานจะมีลักษณะ hybrid แต่ก็ยังมีงานมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องทำด้วยกันที่ต้องเข้ามาเจอกันในสำนักงานรวมไปถึงมีพนักงานหลายกลุ่มที่ก็ยังชื่นชอบกับการมาทำงานในสำนักงาน แม้จะเป็นกลุ่ม Generation Z ก็ตามทีดังนั้นการจัดที่ทำงานที่ตอบโจทย์คนทุกช่วงวัยก็เป็นข้อหนึ่งที่สนับสนุนความหลากหลายในที่ทำงาน

2) ส่งเสริมการสื่อสารเพื่อเชื่อมโยงต่างGeneration ให้เข้าหากัน – จริงๆแล้วการที่แต่ละกลุ่มต่างแปะป้ายให้กับกลุ่มอื่นๆสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ไม่มีความเชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ได้มีความต้องการที่จะพึ่งพาหรือพูดคุยกัน ซึ่งในบทบาทของ HR สามารถที่จะสนับสนุนพนักงานในข้อนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นการทำโครงการแบบ Reverse Mentoring ที่เอาน้องๆมาเป็น Mentor ให้พี่ๆหรือการสร้างให้มีเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนทำความเข้าใจกันและที่สำคัญคือสร้างบรรยากาศที่มีความปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น และพูดคุยกันซึ่งอาจจะใช้การสร้าง Culture ขององค์กรมาเป็นตัวช่วยเพื่อให้มีแนวทางในการพูดคุยและสื่อสารต่างวัยกันได้อย่างมีความสุขและเมื่อสร้างความใกล้ชิดที่มีความสุขซึ่งกันและกันแล้วก็จะช่วยสร้างความเชื่อใจระหว่างกัน

3) ส่งเสริมการให้เกียรติซึ่งกันและกัน – เราจะเห็นได้ว่าแต่ละช่วงวัยก็จะมีค่านิยมที่แตกต่างกันมีหลักยึดในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันสิ่งที่จะทำให้แต่ละกลุ่มอยู่กันได้อย่างเข้าใจ คือต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันซึ่ง HR อาจจะสนับสนุนเรื่องเหล่านี้ได้โดยผ่านทางหัวหน้างานของแต่ละทีมที่จะต้องมีส่วนร่วมและตระหนักถึงความแตกต่างและการให้เกียรติซึ่งกันและกันนี้รวมไปถึงการให้รางวัลภายในองค์กรที่แต่เดิมอาจจะมีในลักษณะของรางวัลอายุงานแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะมีการให้รางวัลในแง่อื่นๆบ้าง เช่น ผู้เปิดใจสานสัมพันธ์ยอดเยี่ยมผู้ช่วยเหลือคนในทีมยอดเยี่ยม หรืออื่นๆ ตามแต่ความเหมาะสมของแต่ละองค์กรภายใต้การสนับสนุนเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

สุดท้ายเรื่องของช่องว่างระหว่างวัยในองค์กรไม่ใช่สิ่งที่องค์กรไหนจะหลีกหนีไปได้หากแต่เป็นชะตากรรมที่ทุกองค์กรจะต้องพบเจอปัญหามีแค่เพียงว่าเราจะปรับชะตากรรมเหล่านั้นให้เป็นบุพเพสันนิวาสที่แสนจะใกล้ชิดและเป็นโอกาสทองขององค์กรที่จะได้นำความแตกต่างนี้มาเป็นเป็นพลังหรือเป็นโศกนาฎกรรมที่ห่างเหินจนไม่สามารถบริหารได้สำเร็จซึ่งก็แล้วแต่การบริหารจัดการของทุกๆคนในองค์กรเท่านั้นเอง

           

Reference

https://www.pwc.com/gx/en/asia-pacific/hope-and-fears/2023/asia-pacific-hopes-and-fears-survey.pdf
https://hbr.org/2023/01/bridging-generational-divides-in-your-workplace
https://www.shrm.org/resourcesandtools/hr-topics/behavioral-competencies/global-and-cultural-effectiveness/pages/the-generational-divide-between-older-and-younger-employees.aspx

 

 

Tag:
No items found.
Share this post:
วัฒนศักดิ์ วิบูลย์ชัยกุล

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024