ดังนั้นการเกิดปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพของพนักงานจึงไม่ควรถูกมองเป็นเพียงแค่เรื่องของปัจเจก หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่ HR จะต้องมองในภาพรวมขององค์กร เพราะศูนย์รวมของปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมากองไว้อยู่ที่สถานที่ปฏิบัติงานทั้งสิ้นคุณ Nataly Kogan ผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนการออกกำลังกายทางอารมณ์หรือ emotional fitness และนักเขียน-วิทยากรชื่อดังเจ้าของช่อง podcast “The Awesome Human Podcast” ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่น่าสนใจที่เธอได้ใช้จากประสบการณ์ที่ได้ทำเวิร์คชอปการบรรยาย และการสัมภาษณ์กับมนุษย์วันทำงาน ทั้งองค์กรใหญ่ องค์กรเล็กทั้งองค์กรที่แสวงหากำไร และองค์กรการกุศล รวมไปถึงพนักงานหลากหลายระดับทั้งผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล ไปจนถึงด่านหน้าของระบบสาธารณสุขที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาดอย่างโควิด-19 เป็นต้น โดยเธอได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเอาไว้สั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “หากเราต้องการสร้างสุขภาพ หรือสุขภาวะที่ดีในองค์กรทุกอย่างมักจะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันสม่ำเสมอ”
Employee Well-being คือ หัวข้อของทั้งองค์กร
ย้ำกันอีกครั้งว่าเวลาพูดถึงสุขภาวะของพนักงาน เราไม่ได้พูดถึงคนเพียงบางกลุ่ม(ที่อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย) แต่เรากำลังจะดึงประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยกันในวงกว้างในระดับองค์กรในระดับตัววัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะผู้นำของผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง หรือระดับแรก รวมไปถึงกระบวนการทำงานการออกแบบการดูแลพนักงาน สวัสดิการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ของพนักงานด้วยไม่ได้เหมารวมไว้เพียงแค่เรื่องของความไม่สบาย (sickness) เพียงอย่างเดียว
HR คือกุญแจสำคัญในการสร้าง Well-being
เพราะพวกเราคือตำแหน่งงานที่สามารถยกมือและปรับเปลี่ยนกระบวนการวัฒนธรรม และบรรยากาศโดยรอบขององค์กรได้โดยใช้การนำเสนอทางวิทยาการและวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆเพื่อจูงใจให้ผู้บริหารยอมรับถึงผลเชิงบวกที่บริษัทจะได้กลับมาหากวันนี้เราเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสุขภาพกายและใจของพนักงานให้ดีขึ้น
การออกกำลังกายทางอารมณ์ความรู้สึก - ออกกำลังใจ
เมื่อเราเข้าฟิตเนส เราสร้างกล้ามเนื้อสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่นได้จากการฝึกฝน และออกกำลังกายเรื่อยๆเช่นกันกับอารมณ์และความรู้สึก เราสามารถ “ฝึก” และ “ออกกำลัง”ได้เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อของเรา เมื่อเราออกกำลังทางอารมณ์ได้ เราจะพัฒนาตัวเองพัฒนาการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นรวมไปถึงช่วยให้ผู้อื่นได้ร่วมออกกำลังใจกับเรา เรามาลองดูวิธีการทั้ง 6 รูปแบบ ที่จะช่วยให้วันนี้พนักงานของเราลุกขึ้นมาออกกำลังใจกัน
1.) การ check-in กับตัวเองทุกวัน
คำว่าcheck-in หากจะตีความหมายให้เหมาะสมกับเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ก็ควรจะแปลว่า การติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผล กับตัวเองสม่ำเสมอเหมือนการที่เราใช้เครื่องวัดความดันตรวจสอบสภาพความดันของร่างกายเราหรือใช้นาฬิกา smart watch ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจการเริ่มต้นตรวจสอบตัวเอง แม้จะไม่มีเครื่องมือแต่เราก็สามารถกระทำได้จากการตั้งคำถามให้กับตัวเองในทุกวัน ด้วยคำถามเช่น“วันนี้เราเป็นอย่างไร? เรากำลังรู้สึกแบบไหน?” สิ่งสำคัญคือห้ามเราพยายามเข้าไปแก้ไขอารมณ์ที่เราตรวจเจอเด็ดขาด สิ่งที่อยากให้เราทำคือ “ยอมรับ”ว่าเรามีอารมณ์แบบนั้น ณ ขณะนี้ โดยงานวิจัยบอกว่าการสร้างพฤติกรรมตรวจสอบอารมณ์ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดอัตราของการ burnout ลงได้
2.) การหยุดพักแบบ“น้อยแต่มาก” ระหว่างวัน
อันดับแรกสิ่งที่ยากคือ “น้อยแต่มาก” ทำอย่างไรถึงจะได้มาสิ่งสำคัญที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดการหยุดพักที่มีประสิทธิภาพคือ การตัดขาดจากงานเพื่อสร้างกระบวนการฟื้นฟสภาวะจิตใจของเราเปรียบเสมือนการชาร์จแบตของโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น การไถฟีด Tiktok หรือ social media เพื่ออ่านข่าวจึงไม่ได้อยู่ใน “น้อยแต่มาก” ที่เราพูดถึง บริษัท Microsoft ได้ออกงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ค้นพบว่า หากเราใช้เวลาหยุดพักระหว่างการประชุมห้าถึงสิบนาที จะสร้างโอกาสในการลดความเครียดลงไปได้สูงมากเนื่องจากสมองของมนุษย์เรานั้น ต้องการการหยุดพักทุก ๆ เก้าสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบนาที เพื่อทำการขจัดความเครียดออกไปดังนั้นหากเราต้องการจะกลับไปโฟกัสกับงานในมากขึ้นการหยุดพักแบบน้อยแต่มากในระหว่างวันจึงจำเป็น จำไว้ว่า พักก็คือพักไม่ใช่นั่งอ่านข่าวการเมือง
3.) ฝึกการยอมรับแบบ“สุดมือสอย ก็ต้องปล่อยมันไป”
กระบวนการนี้มีสองขั้นตอนด้วยกันเริ่มจาก เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอารมณ์ของเราก่อน ทั้งสถานการณ์รายล้อมและข้อมูลที่รายเรียง พิจารณาว่าสิ่งใดบ้างเป็นข้อเท็จจริงสิ่งใดบ้างเป็นเพียงข้อมูลขั้นต้น จากนั้นค่อยกลับมาคิดว่าอะไรที่เราสามารถบริหารจัดการภายใต้ความสามารถของเราณ ขณะนี้ได้บ้าง แล้วก้าวเดินต่อไป การสะสมความตึงเครียดในกระบวนการต่าง ๆ เช่นการตัดสินใจที่โลเลไปมา สร้างภาระอันหนักหน่วงให้กับสมองของเรามากกว่าที่เราคิดการพยายามเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นไปทีละเรื่องทีละจุด จะสร้าง “small win” เล็ก ๆ ที่ทำให้สมองเรามีพลังงานมากขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว ให้รีบพยายามหาข้อเท็จจริงก่อนและอะไรที่เราควบคุมไว้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะต่อให้เราคิดไปเรื่อยๆ สิ่งนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราเองก็ทำอะไรไม่ได่เช่นกัน
4.) จัดลำดับความสำคัญกับเรื่องเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
เพียงการทักทายถามไถ่ พูดคุยก่อนการประชุมงานจะเริ่มขึ้นก็สามารถสร้างสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีให้กับเราและบุคคลรอบข้างได้เช่นกันงานวิจัยได้ศึกษาพบว่า ยิ่งเรามีสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นยิ่งทำให้เรามีความเครียดลดลง ดังนั้น หาก HR อยู่ในห้องประชุมทางไกล หรือ online meeting ก็ควรจะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์เร็วๆ สัก 1-2 นาที เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มักจะถ่ายทอดต่อไปกับคนร้อบข้างเราด้วย โดยสมมติฐานคือพนักงานที่ได้รับความรู้สึกดี ๆ นี้ ก็อยากจะทำแบบนี้กับประชุมอื่น ๆ เช่นกัน
5.) สร้างพลังบวกเพื่อรับมือกับพลังลบจากสมอง
การฝึกการสร้างพลังบวกนั้นมีไว้เพื่อรับมือกับสภาวะ Fight or Flight ของสมอง (จะหนี หรือจะสู้)เวลาเราเจอเรื่องเครียด ๆ เช่น โดนดุด่าว่ากล่าวจากที่ทำงาน หรือทำงานผิดพลาดสมองเราจะเข้าโหมดดังกล่าวทันที ถ้าเราเข้าสภาวะสู้ เราอาจจะเริ่มเหวี่ยงคนรอบข้างหรือสร้างข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หรือเข้าสภาวะหนีเราอาจจะปิดหน้าจองาน และไม่รับรู้อะไร ไม่ทำงานอะไรเลยก็ได้ ดังนั้นเราจึงควรฝึกพลังบวกเพื่อให้เป็นเกราะป้องกันเวลาที่เราตกอยู่ในเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่เรื่องดังกล่าวการฝึกพลังบวก ไม่ได้หมายถึงเราจะต้องปฏิเสธหรือเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแต่คือการหยุดคิด และหันมาชื่นชมกับสิ่งที่มีอยู่บ้างการได้จิบเครื่องดื่มที่เราชอบ การได้มีสายตาดี ๆ ไม่ต้องตัดแว่น การที่วันพรุ่งนี้จะวันหยุดแล้วล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง “จริง”ที่เราไม่เคยเหลียวมองเวลาที่เราตกอยู่ในสภาวะจะสู้หรือจะหนีนั่นเอง
6.) ฝึกการพักผ่อนแบบตัดขาดจากงานบ้าง
เนื่องจากการพักผ่อนมีหลากหลายแล้วแต่ความเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของแต่ละคน บางคนชอบท่องเที่ยว บางคนชอบเล่นเกมบางคนชอบทำกิจกรรมลุย ๆ ดังนั้น ควรหาเวลาให้พนักงานได้ใช้วันหยุดพักผ่อนที่ออกไปสร้างกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบเพื่อตัดขาดการโลกของงาน อย่างไรก็ตามการนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์นาน ๆหรือดูซีรียส์รวดเดียวทั้งคืน อาจจะทำให้เราหายเบื่อ แต่สมองกลับไม่ได้พักจึงควรระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย การทำ workshopสนุก ๆ ในที่ทำงาน หรือนอกเวลางานอย่าง การวาดรูป การระบายสีการเล่นดนตรี เป็นการพักผ่อนที่ช่วยลดอัตราการ burn out ได้สูงมากกว่ากิจกรรมหน้าจอ
อ้างอิง:
ToBuild a Top Performing Team, Ask for 85% Effort (hbr.org)
6 Science-Backed Ways to Improve Your Well-Being at Work (hbr.org)