>
จะเตรียมการอย่างไรในโลกของ Remote Working แบบ Hybrid
April 20, 2022

จะเตรียมการอย่างไรในโลกของ Remote Working แบบ Hybrid

หากจะพูดถึงการทำงานแบบ Remote Working หรืออธิบายแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายคือ การทำงานแบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศ บริษัทแรกที่มนุษย์ทำงานสมัยใหม่จะพากันเอ่ยชื่อก็คงไม่พ้น Gitlab บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สายนักพัฒนา (Developer) ชื่นชอบกัน โดยสิ่งที่ Gitlab ให้บริการคือการสร้างตัวเองเป็น Drive ศูนย์กลางในการจัดเก็บ Code ที่นักพัฒนาเขียนเอาไว้ เพื่อนำไปสร้างโครงการต่อยอดจาก Code ดั้งเดิมที่คนแรกสร้างเอาไว้ได้ โดยเป็นการประหยัดเวลา และสามารถพัฒนาร่วมกันหลาย ๆ โครงการได้ โดยที่ระบบจะจัดเก็บเป็นไฟล์ย่อย ๆ กันการทำงานซ้อนกัน ซึ่งแนวคิดนี้เรียกโดยทั่วไปว่า Opensource

สิ่งหนึ่งที่วงการHR ต่างพากันชื่นชอบ และนำวิธีการของ Gitlab มาใช้งานต่อคือการเปลี่ยนถ่ายการทำงานมาเป็นระบบRemote work หรือการทำงานจากที่ไหนก็ได้เนื่องจากที่บริษัทนี้มีพนักงานกระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 1,300 คน ซึ่งทำให้การทำงานเป็นแบบ “Full-Remote” หรือการทำงานที่ไม่ยึดติดกับการต้องเข้ามาทำที่ออฟฟิศโดยเน้นความยืดหยุ่นเป็นหลักเนื่องจากเวลาทำงานของแต่ละคนจากคนละซีกโลกนั้นก็ไม่เท่ากันดังนั้นจึงไม่สนับสนุนให้เกิดการประชุมที่เสียเวลาและทำให้พนักงานต้องจัดเวลาของตัวเองให้เข้ากับคนอื่น โดยเปลี่ยนความสำคัญไปที่การ“จัดเก็บเอกสาร” (Document) มากกว่า และที่สำคัญคือกระบวนการทำให้เอกสารมีชีวิต หรือ Living Documents เป็นอะไรที่Gitlab ทำให้ผู้คนจากหลากหลายประเทศสามารถทำงานร่วมกันจากระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

คำว่า Living Documents แท้จริงแล้วก็มีรากฐานมาจากกระบวนการทำ KM หรือ Knowledge Management นั่นเองแต่การที่ใส่ความเป็นสิ่งมีชีวิตให้กับเอกสารเข้าไปจึงทำให้ผู้คนจากหลากหลายสถานที่ในหน่วยงานที่แตกต่างกันในองค์กรสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไข และทำให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา โดยเอกสารที่สำคัญที่สุดอย่างเช่น คู่มือพนักงานก็เป็นเอกสารที่ทางบริษัทเปิดเป็นสาธารณะนั่นหมายความว่าคนนอกองค์กรอย่างเราก็สามารถเข้าไปดูทุกอย่างภายในเอกสารนั้นได้อาทิ การพัฒนา (Learning and Development) การเบิกจ่าย การ OnBoarding การพัฒนาสายงาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เองที่ช่วยให้บริษัทสามารถที่จะทำงานแบบFull-Remote ได้แบบ 100% เนื่องจากหากพนักงานมีข้อสงสัยอะไรไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม ก็จะสามารถเข้าไปสืบค้นเอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น CaseStudy หรือคู่มือการแก้ปัญหาได้จากแหล่งรวมเอกสารเหล่านี้ซึ่งก็จะมีผู้ดูแลรับผิดชอบเป็นส่วนงานไปทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารได้รับการแก้ไขปรับปรุงพร้อมใช้งานเสมอ

 

อย่างไรก็ตาม Gitlab เองก็ได้ตั้งคำถามกับเรื่อง Remote Work มาตั้งแต่ปี2014 ว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรอื่นสามารถเปลี่ยนตัวเองมาเป็น RemoteWork ได้ โดย Gitlab ได้จัดทำเอกสารคู่มือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมากกว่า50 ฉบับที่สามารถสืบค้นได้จาก website ของบริษัทเองสิ่งที่น่าสนใจคือ Gitlab ได้จัดระดับของความ Remote ออกไว้ถึง 10 ระดับด้วยกัน ตั้งแต่ไม่สามารถ Remoteได้เลย ไปจนถึง ไม่มีออฟฟิศให้เข้า ที่ระดับสูงสุด (Full-Remoteของ Gitlab คือระดับที่ 9) โดยสิ่งที่ Gitlab ระบุไว้ว่าน่าสนใจมากที่สุดคือระดับที่ 5 หรือ Hybrid Remote ซึ่งจากการสำรวจRemote Work Report พบว่าพนักงานถึง 42% มีความต้องการที่จะทำงานจากที่ไหนก็ได้แต่ขณะเดียวกันก็ยังอยากเจอเพื่อนร่วมงานตัวจริงอยู่ในสถานที่ทำงานจริง ๆตรงจุดนี้เองที่หลายบริษัทจึงหันมาสนใจการสร้าง Hybrid Workplace ขึ้นมา โดยที่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงมากที่สุดคือจากนี้ไปหากบริษัทจะนำระบบ Hybrid เข้ามาใช้งานจริง ๆผู้บริหารจะต้องระลึกไว้เสมอว่ากำลังจะสร้าง Employee Experience ที่แตกต่างกันสองรูปแบบออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางมาทำงาน การประชุม การพัฒนาพนักงานการปรับระดับ การวัดและประเมินผลปฏิบัติงาน และอื่น ๆ อีกมากมายดังนั้นจึงมีข้อเสนอพึงระวังสำหรับการจัดการการบริหารงานแบบระบบ Hybrid ดังนี้

 

1.)     หมั่นบันทึกการประชุมที่สำคัญเอาไว้ทั้งการอัดเป็นวิดีโอ เสียง และเอกสารและเผยแพร่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างโปร่งใสทำให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นจากการสืบค้นย้อนหลัง

2.)     อย่าทอดทิ้งการสนทนาแบบไม่เป็นทางการ การคุยกับแบบCoffeeChats ยังควรได้รับการสนับสนุนให้เกิด เช่นการคุยเล่นระหว่างเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานคนละรูปแบบกัน

3.)     ออกแบบห้องประชุมใหม่ ภาพจำของห้องประชุมในออฟฟิศที่มีหลายที่นั่งควรจะต้องหายไปและทำภาพจำขึ้นมาใหม่ว่าจริง ๆ แล้วออฟฟิศก็เป็นแค่ที่เก็บห้องประชุมหลาย ๆห้องเอารวมกันไว้ โดยเน้นการทำงานที่สามารถประชุมได้ทั้งในออฟฟิศและคนจากภายนอก

4.)     จะต้องแจกจ่ายหัวข้อการประชุม หรือ Agenda ให้ผู้เข้าร่วมประชุมล่วงหน้า 100% เพื่อลดภาระในการเข้ามาอธิบายหัวข้อซ้ำใหม่และจะเสียเวลาในการทำงานลงไป

5.)     ผู้นำจะต้องเป็นผู้เริ่มการ Remote ก่อนเลย เพื่อไม่ให้พนักงานติดภาพเดิมที่คิดว่าเวลาจะเสนอข้ออะไรหรือต้องการให้นายตัดสินใจอะไรต้องเข้าไปที่ออฟฟิศเพื่อนัดพบ เป็นต้นการบังคับให้ผู้นำเริ่มทำสิ่งนี้จะลดบทบาทของออฟฟิศแบบกายภาพลงไปได้เยอะ

6.)     พิจารณาการกำหนดวันที่บังคับให้เข้าออฟฟิศ เนื่องจากหากไม่ยืดหยุ่นให้เพียงพอดีอาจทำให้เกิดปัญหาภายหลังทั้งการเข้าถึงพนักงาน การสร้างคุณภาพชีวิตของพนักงานและเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ซับซ้อน

7.)     สร้างสวัสดิการที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศประจำ หรือพนักงานที่สามารถทำงานจากภายนอกได้เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างที่ไม่จำเป็น

 

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการสร้างHybridWork ให้ประสบความสำเร็จ คือการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารระหว่างทีมด้วยกันเอง และข้ามหน่วยงานหากการสื่อสารไม่เป็นไปอย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้การทำงานแบบ Hybridนั้นมีความยากลำบากมากขึ้นนั่นเอง

 

อ้างอิง

[eBook]The Remote Playbook (gitlab.com)

Tag:
No items found.
Share this post:
ภคภัค สังขะสุนทร

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024