>
เชื่อมการสื่อสารภายในองค์กร ยุค Work from Anywhere ด้วย HR BOTS
June 14, 2021

เชื่อมการสื่อสารภายในองค์กร ยุค Work from Anywhere ด้วย HR BOTS

> COVID 19 เป็นปัจจัยเร่งให้ digital tools ถูกยอมรับโดยผู้ใช้ อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 8 สัปดาห์ > หลายองค์กร ใช้ Digital business tools เพื่อกำจัดการสื่อสารที่ผิดพลาดและความไร้ประสิทธิภาพภายในองค์กร > Bots ไม่ได้ "ขโมย" งานของมนุษย์ แต่รับหน้าที่ที่มนุษย์ไม่ชอบทำ และทำให้มนุษย์สามารถใช้เวลาทำงานเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น > Bots อัจฉริยะมีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีต้นทุนต่ำกว่ามาก เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต > Bots จะทำให้พนักงานทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือที่ชาญฉลาดตลอดเวลา > การต่อต้านการใช้เทคโนโลยีเกิดขึ้นได้ จึงควรมีแนวทางให้พนักงานเปิดใจทดลองใช้เทคโนโลยี เช่น การให้รางวัล และ การรับฟังปัญหาของผู้ใช้เพื่อนำไปปรบปรุง

ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 มีการใช้เครื่องมือดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึง ระบบการจัดการการเรียนรู้ (LMS), ระบบ IoT (Internet of Things) และแพลตฟอร์มการจัดการที่ใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ แม้ว่าบริการเหล่านี้จะมีหลากหลายรูปแบบ แต่ก็มีจุดประสงค์ร่วมกัน เพื่อทำให้การดำเนินธุรกิจสะดวกยิ่งขึ้น

แม้ว่าเครื่องมือดิจิทัลจะถูกนำมาใช้เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ผลจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing measures) และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปสู่การทำงานระยะไกล ทำให้ความนิยมในการใช้ digital tools เพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

McKinsey รายงานว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เราก้าวกระโดดไปข้างหน้าถึง 5 ปีในเรื่องการดำเนินการทางธุรกิจและสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดการยอมรับการใช้ digital tools ได้ในเวลาเพียง 8 สัปดาห์เนื่องจากสถานการณ์รอบตัวที่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว

Digital business tools  ถูกนำไปใช้ทั้งภายนอกองค์กรเพื่อช่วยให้องค์กรโต้ตอบกับลูกค้าและผู้ซื้อ และถูกใช้ภายในองค์กรเพื่อประสานการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ ระบบจ่ายเงินเดือนอัตโนมัติ  แอปพลิเคชั่นการชำระเงินคืน  (reimbursement apps) รวมไปถึง HR Chatbots และอื่น ๆ โดย Digital business tools  เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อกำจัดการสื่อสารที่ผิดพลาดและความไร้ประสิทธิภาพภายในองค์กร  โดยการใช้ HR chatbots  และแพลตฟอร์มการสื่อสารภายใน กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างข้อมูลที่เกิดจากการย้ายไปทำงานระยะไกล  เทคโนโลยีเหล่านี้มีความคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจในวันนี้และยังรวมถึงการให้ผลลัพธ์ความสำเร็จในอนาคต

ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนมาใช้ Covid-19’s New Normal

Shelly Singh  ผู้ร่วมก่อตั้ง PeopleStrong อธิบายว่า “Hierarchy กำลังสลายไปและวัฒนธรรมในสที่ทำงานกำลังเปลี่ยนไป” ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ผู้นำที่ดื้อรั้นก่อนหน้านี้ได้ตื่นตัวกับประโยชน์ของการประชุมเสมือนจริง (virtual conferences) , Augmented Reality  (AR) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ในการขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจ

ในความเป็นจริงการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ “ไม่ใช่ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็น “สิ่งจำเป็น” เมื่อองค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จในวิถีโลกใหม่ ต้องการความรวดเร็วและคล่องตัว จึงไม่สามารถปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีได้

เทคโนโลยีดิจิทัลได้สัมผัสกับทุกแง่มุมของธุรกิจตั้งแต่การดำเนินงานไปจนถึงกระบวนการเผชิญหน้ากับลูกค้า รวมถึง การจัดการทรัพยากรมนุษย์  หากต้องการใช้พนักงานมีความคล่องตัวในการทำงาน  ธุรกิจจำเป็นต้องลดความล่าช้าและความไร้ประสิทธิภาพ ในหลาย ๆ กรณี  โดยวิธีที่ดีที่สุดคือ “เปลี่ยนจากการใช้มนุษย์เป็นการใช้เทคโนโลยี”  

ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นการใช้เทคโนโลยีแทนมนุษย์ มีอยู่มากมาย อาทิเช่น  ตัวอย่างแรก แทนที่จะอาศัยทีมงานเล็ก ๆ ที่ต้องทำงานอย่างหนักเกินไปเพื่อตรวจสอบการจดบันทึกและการทำเครื่องหมายความคลาดเคลื่อน บริษัทหลายแห่งใช้ optical character recognition (OCR) หรือ การอ่านอักขระด้วยแสง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อ "รู้จำ" หรือ "อ่าน" ข้อความที่ปรากฏในไฟล์ภาพ ข้อความที่พิมพ์ด้วยมือ รวมถึงตัวอักษรที่ใช้มือเขียน ได้ด้วย

ตัวอย่างที่สอง การใช้ payroll tools ที่สามารถจัดการคืนเงิน ประเภท reimbursements ซึ่งบริษัทต้องจ่ายคืนให้พนักงานในส่วนที่พนักงานออกเงินของตัวเองไปก่อนแล้วมาเบิกจากบริษัทในภายหลัง  กระบวนการนี้หากใช้แรงงานมนุษย์ต้องใช้เวลานาน  แต่เทคโนโลยีใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาที และทำได้โดยไม่มีความเครียดเมื่อเทียบกับการใช้คนจัดการ

นอกจากนี้เทคโนโลยี ยังช่วยให้ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์มีเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาพนักงานได้มากขึ้น โดยทำให้สามารถเอาใจใส่และใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อปัญหาอื่น ๆ ที่เทคโนโลยีไม่สามารถแก้ไขได้  ปัจจุบันพบว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ เกิดขึ้นในทุกมิติของธุรกิจซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันอย่างเห็นได้ชัด  องค์กรต่างๆสามารถก้าวข้ามขอบเขตทางภูมิศาสตร์เขตเวลา และขีดจำกัดของมนุษย์ ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริงด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม

บางคนแสดงความกังวลว่างานของพวกเขาจะถูก Bots หรือ ผู้ช่วยดิจิทัล "ขโมย" ไป แต่ความจริงแล้วเครื่องจักรส่วนใหญ่จะรับหน้าที่ที่มนุษย์ไม่ชอบทำ เครื่องจักรที่อยู่เบื้องหลังจะรับหน้าที่ดูแลงานที่ซ้ำซาก นั่นหมายถึงพนักงานย่อมมีเวลา และมีมีความสุขกับบทบาทที่สามารถใช้จินตนาการสร้างสรรค์และใช้เวลาไปกับงานเชิงกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนองค์กรได้มากขึ้น

ความท้าทายในปัจจุบันที่ต้องเผชิญในที่ทำงาน

ธุรกิจจำนวนมาก และสถานที่ทำงานหลายแห่ง มีกระบวนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ล้าสมัยและยังคงหลงเหลือกระบวนการทำงานตามแบบการทำงานยุคดั้งเดิม ยังพบว่าคนทำงานต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นในการทำงาน แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากคำถามของพวกเขาไม่ได้คำตอบเป็นระยะเวลานาน? เป็นที่ชัดเจนว่าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องการพัฒนากระบวนการทำงานให้สอดรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงาน เราพบว่า

• 50% ของคำถามที่พนักงานสอบถามไป ยังคงไม่ได้รับคำตอบแม้จะผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้วก็ตาม

• 30% ของงานที่พนักงานต้องทำให้สำเร็จ มักล่าช้าเนื่องจากการพึ่งพาผู้อื่น

• 20% ของเวลาในการผลิตของพนักงานใช้ไปกับการประสานงานหรือจัดการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

สิ่งเหล่านี้เป็นความไร้ประสิทธิภาพและความล่าช้าที่ บริษัท ต่างๆต้องการลบออกจากกระบวนการเพื่อให้เข้าใกล้การประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน และนี่ไม่ใช่ความท้าทายเดียวที่พนักงานต้องเผชิญ  พนักงานยังต้องเผชิญกับหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น  

การดิ้นรนเพื่อจัดการความสมดุลในชีวิตการทำงาน work-life balance ได้กลายเป็นเรื่องยากอย่างมากหลังการแพร่ระบาดของ COVID 19 การทำงานจากที่บ้านช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารประกอบการทำงานได้ตลอดเวลาและเมื่อแง่มุมของการทำงานเข้ามาในชีวิตส่วนตัวก็อาจทำให้สับสนได้ หากต้องพยายามแยกมันออกจากกัน

ขอบเขตงานกำลังกว้างขึ้น  เนื่องจากปัจจุบันมีการจัดการงานบางด้านโดยหุ่นยนต์ , AI รวมถึง machine learning  พนักงานอาจพบว่าขอบเขตงานและความรับผิดชอบของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาอาจต้องทำงานใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานเดิม

ตำแหน่งที่ตั้ง ช่องทางการสื่อสาร และเขตเวลา เป็นสาเหคุทำให้เกิดปัญหา  เมื่อขอบเขตงานกว้างขึ้นพนักงานอาจพบว่าตัวเองได้สัมผัสกับผู้คนมากมาย พวกเขาอาจต้องติดต่อประสานงานกับแผนกในสถานที่อื่น ๆ และในหลายภาษา แม้ว่าการใช้เครื่องมือสื่อสารของ บริษัท เช่น Slack และ Basecamp จะเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ COVID19  แต่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็วเหล่านี้มักดำเนินการโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า และสามารถก่อให้เกิดไซโลระหว่างหน่วยงานและทีมได้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่คำถามมากมายเช่น:

• ใครคือผู้รับผิดชอบหลักของโครงการนี้?

• เวลาใดที่ดีที่สุดในการกำหนดเวลาการประชุม?

• ใครมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ?

• ฉันจะหาเอกสารเหล่านี้ที่ต้องการได้ที่ไหน?

• ฉันควรจะสื่อสารกับใครสำหรับโครงการ A, B และ C?

สถานการณ์ที่สะท้อนปัญหาเรื่องการสื่อสาร ที่เห็นได้ชัด ก็คือ “แผนกหนึ่งอาจชอบใช้ Email อีกคนอาจใช้เอกสาร Word  คนอื่น ๆ อาจสื่อสารผ่าน Whatsapp พนักงานพบว่าตัวเองกำลังต้องรับมือช่องทางการสื่อสารและแอปพลิเคชั่นจำนวนนับไม่ถ้วน และการเข้าถึงบางแฟลตฟอร์มยังถูกกีดกัน”  

แม้แต่แง่มุมง่ายๆอย่างการสื่อสารใน บริษัท ก็ต้องมีการไตร่ตรองให้ดี การขาดความสม่ำเสมอในการสื่อสารภายในบริษัท จะทำให้เกิดความยุ่งยากสับสนและเกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากพนักงานแย่งกันติดตามว่าข้อมูลทั้งหมดของพวกเขาอยู่ที่ใด

Aditya Birla Capital (ABC) เป็นตัวอย่างขององค์กรที่รับมือและป้องกันการปัญหาการสื่อสารภายในองค์กร โดยนำ chatbot  มาใช้เพื่อช่วยจัดการพนักงาน 14,000 คนในสาขากว่า 600 แห่งทั่วอินเดียได้สำเร็จ ก่อนนั้น บริษัทต้องดิ้นรนกับข้อความที่ไม่ได้รับและคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆเช่น การลางาน สวัสดิการพนักงาน   อันดับแรกพวกเขา เริ่มต้นการออกแบบ Chatbot จากข้อมูลในช่วงห้าปีที่ผ่านมา พวกเขายังแบ่งปันข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับนโยบายภายในของบริษัทผ่าน Chatbot  การใช้งาน Chatbot ช่วยให้ ABC ลดการสืบค้นจาก 1,000 คำค้นหาต่อเดือนเหลือเพียง 200 คำค้นหาต่อเดือน

ประเภทของ Bots ที่ถูกนำมาใช้ในสถานที่ทำงาน

Bots เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดและพร้อมใช้งานเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดระหว่างมนุษย์ ที่มากไปกว่านั้น Bots ต่างจากนักทรัพยากรมนุษย์  ตรงที่พร้อมให้บริการตลอดเวลาและไม่ต้องจัดการหรือลดคิวในการให้บริการพนักงาน นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถให้ “ความเอาใจใส่” อย่างเต็มที่กับพนักงานทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ  การแบ่งประเภทของ Bots ที่ถูกนำมาใช้สำหรับ enterprise organizations แบ่งได้ดังนี้

Dumb Bot  จำกัดความสามารถอยู่ที่การส่งคำตอบที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าไปยังผู้รับ โดยสามารถระบุคำหลักที่เฉพาะเจาะจงและตอบสนองด้วยการเลือกข้อความที่อาจจับคู่กับคำหลักนั้น ความท้าทายอย่างหนึ่งของ dumb bots  คือ มันถูกจำกัด ความเข้าใจในการตอบสนองตามที่ original coder ตั้งไว้เท่านั้น หากผู้ใช้ใช้วลีที่ไม่รู้จักหรือถามเกี่ยวกับหัวข้อที่โปรแกรมเมอร์ไม่ได้กล่าวถึง Bots ก็จะไม่เป็นประโยชน์

Partially smart bot  เป็น Bot อัจฉริยะบางส่วน Bot เหล่านี้ จำกัด อยู่ในลักษณะเดียวกับ dumb bots เนื่องจากมีคลังความรู้ที่ จำกัด  bots เหล่านี้อาจใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่ผู้ใช้ถามจากนั้นจึงตอบกลับคำตอบที่เกี่ยวข้องมากที่สุด Bot ประเภทนี้สามารถเข้าใจคำถามแม้ว่าผู้ใช้จะทำผิดพลาดทางไวยากรณ์เล็กน้อยหรือสะกดผิด อย่างไรก็ตามมันจะไม่สามารถ “connect the dots”และให้คำตอบที่ไม่ได้ระบุไว้ได้

Truly intelligent bot หรืออาจเรียกได้ว่า “Bot อัจฉริยะอย่างแท้จริง” Chatbot ที่ ABC นำมาใช้ใน บริษัท ของพวกเขาเป็นของ chatbot  ประเภทนี้ Bot อัจฉริยะไม่ได้ใช้เพียงแค่ NLP เท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์จาก data science , machine learning , AI และอินเทอร์เฟซสำหรับการสนทนา เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ Truly intelligent bot เข้าใจบริบทของผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยจะต่อยอดจากสิ่งที่ได้เรียนรู้และบันทึกไว้จากการสนทนาที่ผ่านมาเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดและสามารถตอบสนองหรือให้คำตอบแก่ผู้ใช้ได้อย่างราบรื่น Advanced intelligent bots  หรือ “Bot อัจฉริยะขั้นสูง” คุณลักษณะการวิเคราะห์ข้อมูลในตัว ช่วยให้สามารถแสดงผลข้อมูลเชิงลึก เช่น สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ของพนักงาน รวมถึงวิเคราะห์ทักษะและความสามารถที่เกี่ยวข้องกับผลงานในอดีต ค่าตอบแทนปัจจุบันและอื่น ๆ

ประโยชน์ของ bots

bots อัจฉริยะมีความแม่นยำรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับค่าจ้างแรงงานมนุษย์ การติดตั้ง single bot สามารถทำงานแทน ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ทั้งทีมที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา และที่ดีที่สุดคือ Bots ไม่ต้องการสวัสดิการ ไม่มีความเครียด ไม่เหน็ดเหนื่อย และไม่มีความไม่พอใจ การนำ Bots จะทำให้ พนักงานทุกคนจะได้รับผู้ช่วยในชีวิตการทำงานที่ชาญฉลาดซึ่งให้ความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา  Chatbot อัจฉริยะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้

• ให้ภาพรวมของสิ่งที่ต้องทำในระหว่างวันทำงาน

• ส่งใบลาในนามของพนักงาน

• ตอบคำถามเกี่ยวกับงาน

• ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ใกล้เคียง

• กำหนดการประชุม

• ทบทวนและสรุปรายการสิ่งที่พนักงานต้องทำและที่ยังทำไม่เสร็จ

• จัดการการตรวจสอบ การปฏิบัติงาน การรับรู้ และ การมีส่วนร่วมของพนักงาน

•รายงานและบันทึกการทำธุรกรรม

อย่างไรก็ตาม AI-powered bots  หรือ Bot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามที่ users ซึ่งหมายความว่าประสบการณ์ของพนักงานสามารถปรับปรุงได้ก็ต่อเมื่อฺ Bots เรียนรู้วิธีจัดการความต้องการคำขอและคำถามทั่วไปให้ดีที่สุดเท่านั้น

การขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีจากการนำ chatbots ไปใช้งาน

เป็นเรื่องยากที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกับวิธีการทำงานที่ยุ่งยาก การโน้มน้าวให้พนักงานใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ทันทีอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญ Chatbot ด้าน HR ที่ทันสมัยที่สุด เช่น Chatbot “Jinie” ของ PeopleStrong สามารถเข้าถึงได้จากอุปกรณ์มือถือทุกเครื่อง ง่ายพอ ๆ กับการส่งข้อความหาเพื่อนสนิท อย่างไรก็ตาม การโน้มน้าวใจให้พนักงานใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ จะต้องใช้กลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบ ต่อไปนี้คือ เคล็ดลับที่จะช่วยให้การนำ Chatbot มาใช้ในองค์กรได้รับการยอมรับและให้ผลดีต่อกิจกรรมขององค์กร

เคล็ดลับ # 1: HR ต้องสื่อสารอย่างชัดเจน

“ มีอะไรให้ฉันบ้าง” วิธีที่ดีที่สุดในการโน้มน้าวผู้ใช้ใหม่ให้ใช้เครื่องมือ หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆ คือการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าชีวิตจะง่ายขึ้นแค่ไหน ซึ่งหมายความว่าคุณต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Bot มารถทำอะไรได้บ้าง  หากจำเป็นคุณยังสามารถกระตุ้นพวกเขาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่นให้รางวัลพนักงานที่ใช้ Chatbot บ่อยที่สุดหรือให้รางวัลแก่คนกลุ่มแรกๆที่เข้ามาใช้งาน

เคล็ดลับ # 2: สร้างบทแนะนำสั้น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้คุ้นเคย

Bot อัจฉริยะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและการเรียนรู้ที่จะใช้มันก็เหมือนกับการได้เพื่อนใหม่ คุณเคยอยากมีคู่มือเพื่อให้คุณรู้วิธีโต้ตอบกับคนที่คุณพบเป็นครั้งแรกอย่างชัดเจนหรือไม่? มีโอกาสที่พนักงานของคุณจะรู้สึกแบบเดียวกันกับChatbot คุณสามารถช่วยให้พวกเขาอุ่นเครื่องได้โดยการเขียนบทแนะนำสั้น ๆ หรือบันทึกวิดีโอที่สอนวิธีใช้งาน

เคล็ดลับ # 3: สอบถามข้อมูลจากพนักงานของคุณ

ขอให้พนักงานของคุณให้คะแนนประสบการณ์การใช้ Chatbot ของพวกเขาเป็นประจำเพื่อทำความเข้าใจว่าจะปรับปรุงได้อย่างไร คำแนะนำและคำวิจารณ์ของพวกเขาอาจช่วยให้คุณระบุ“ จุดบอด” ที่คุณไม่ได้สังเกตเห็นจากมุมมองของผู้ใช้

เคล็ดลับ # 4: วัดประสิทธิภาพของ chatbot

ข้อดีอีกอย่างของ chatbot ในที่ทำงานคือคุณสามารถปรับแต่งและวิจารณ์ให้ตรงกับเนื้อหาที่คุณต้องการได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะล้นหลาม เพื่อให้ chatbot สามารถบริการพนักงานของคุณได้อย่างแท้จริงในแบบที่พวกเขาต้องการ และควรกำหนด KPI เพื่อประเมินผลการใช้งานของ chatbot ตัวอย่าง KPI ที่ต้องติดตาม ได้แก่ การลดลงของเปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากรมนุษย์ , การลดลงของเปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายด้านไอที และ จำนวนคำถามที่ตอบในช่วงเวลาที่กำหนด

Chatbots เป็นส่วนหนึ่งของอนาคตสำหรับแผนกทรัพยากรมนุษย์ เน้นย้ำอีกครั้งว่า Chatbot ไม่ได้มีไว้เพื่อแทนที่ทีม HR ของคุณ แต่จะช่วยลดภาระงานของ HR ด้วยการทำกิจกรรมที่มีมูลค่าต่ำที่สุดในบทบาทของ HR และ ช่วยให้ HR มุ่งเน้นไปที่งานทรัพยากรมนุษย์ เชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น

เมื่อคุณไม่แน่ใจว่า การตัดสินใจ เลือก Chatbots มาใช้สำหรับองค์กรของคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่คุณสามารถติดต่อ PeopleStrong ผู้ให้บริการ Chatbots ชั้นนำได้ และ ผู้นำเสนอ HR business solutions  ที่ดีที่สุดมากว่า 14 ปี พิสูจน์ได้จาก Jinie ซึ่งเป็น chatbot solution ของเรา และ เป็นChatbots HR ตัวแรกของอินเดีย และคุณสามารถกำหนดเวลาเพื่อเข้านับการสาธิตได้ตลอดเวลาเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติและสิทธิประโยชน์เฉพาะของ Jinie

Tag:
No items found.
Share this post:
KHON

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024