>
โควิด-19 บทเรียนจากอดีต สู่แนวทางแห่งอนาคต
April 28, 2021

โควิด-19 บทเรียนจากอดีต สู่แนวทางแห่งอนาคต

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โลกใบนี้ต้องเผชิญหน้ากับโรคติดต่อ และโรคระบาด...อันที่จริงในอดีตที่ผ่านมาโลกต้องผ่านโรคติดต่อ และโรคระบาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แถมถ้าพูดถึงโรคติดต่อแล้วเราจะพบว่าโรคติดต่อนั้นมีความสม่ำเสมอแฝงมาด้วยอยู่เสมอ...คือ มาตามฤดูกาล เช่น โรคหวัด โรคไข้หวัดต่าง ๆ โรคไข้เลือดออก หรือโรคยอดฮิตของเด็ก ๆ ในช่วงเปิดเทอมทั้งหลาย แต่ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงและรุดหน้าไปอย่างมากในปัจจุบัน ประกอบกับลักษณะของโรคนี้เองส่งผลให้โรคระบาดอย่างโควิด-19 ครั้งนี้มีผลกระทบรุนแรงอย่างมากอย่างที่เราไม่เคยเห็นการคุกคามทางสาธารณสุขอื่น ๆ ในอดีตเคยสร้างขึ้นมาก่อน

White Paper ที่ออกโดย World Economic Forum ร่วมกับ Harvard Global Health Institute เมื่อเดือนมกราคม 2019 เสนอว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเสี่ยงต่อโรคติดต่อ อันเนื่องจากการขยาตัวทางด้านการค้าและการท่องเที่ยว ความหนาแน่นของประชากร การถูกบังคับให้ย้ายถิ่นที่อยู่ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาทางด้านเชื้อชาติ การเมือง หรือสงคราม การย้ายถิ่นฐาน การทำลายป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก โดยเฉพาะในช่วง 30 ปีย้อนหลังจะพบว่ามีการอุบัติของโรคกำเนิดใหม่ และโรคระบาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังได้นำเสนอเรื่องที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับโรคระบาด ความพร้อมของรัฐบาลต่าง ๆ และภาคธุรกิจ รวมไปถึงข้อเสนอในการรับมือโรคติดต่อและโรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งจะได้นำมาเล่าให้ได้อ่านกันอีกหากมีโอกาส

ดังนั้นสรุปแล้วนักวิชาการเชื่อแน่ว่าในอนาคตเราคงต้องได้พบเจอโรคระบาดกันได้อีกอย่างแน่นอน และอาจจะเป็นโรคชนิดใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนก็เป็นได้ และขนาดของการระบาดจะส่งผลกระทบในระดับโลกได้ด้วย

เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เจอเอกสารย่อสำหรับการบรรยายสรุปของ McKinsey & Company ในประเด็น Global Health and Crisis Response เกี่ยวกับกรณี Covid-19 ซึ่งให้มุมมองและแง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นไป โดยส่วนที่น่าสนใจส่วนแรกในเอกสารฉบับนี้ คือ ข้อพิจารณาหลักจากพัฒนาการของโรคทั้งสิ้น 4 ประเด็น และนัยสำคัญที่จะมีต่อสังคม ได้แก่

1. มีหลักฐานที่เพิ่มขึ้นถึงจำนวน และบทบาทของผู้ป่วยที่ไม่มีอาการและการแพร่เชื้อโดยผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ ดังนั้นจึงน่าจะมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องคงรักษาระยะห่างทางสังคมกันต่อไปอย่างจริงจังอีกระยะหนึ่ง

2. โดยทั่วไปแล้วภูมิอากาศและฤดูกาลพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีผลอยู่บ้างก็ตาม ดังนั้นการแทรกแซงทางสาธารณสุขยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่มีความจำเป็น

3. นวัตกรรมชุดทดสอบเชื้อที่มีการพัฒนากันขึ้นมาอาจช่วยขยายขีดความสามารถในการเฝ้าระวังโรคนี้ได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังอาจช่วยให้เราสามารถแบ่งกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงออกจากคนที่มีภูมิต้านทานได้ และจะช่วยทำให้เรามีกลุ่มคนที่สามารถกลับมาฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดลงไปได้

4. หลายประเทศในเอเชียเริ่มอนุญาตให้มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ภายใต้การควบคุมทางสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดภายในประเทศ แต่ยังคงมาตรการที่เข้มงวดสำหรับการเดินทางข้ามพรมแดนประเทศเอาไว้ก่อนอันเนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏว่าหลังจากการจำกัดการเดินทางของประชาชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ หลายประเทศสามารถควบคุมการระบาดได้ดี แต่หลังจากผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ลงกลับพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น และจำนวนมากเป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ

ดังนั้นในประเทศเราเองก็น่าจะมีโอกาสเห็นลักษณะดังกล่าวในสังคมเช่นกัน

อีกประเด็นที่น่าสนใจในเอกสารชุดนี้คือเรื่องการวางแผน และการจัดการตอบโต้ต่อสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง McKinsey & Co. ได้ว่าผู้นำองค์การจำเป็นต้องคิด และทำใน 5 เรื่องต่อไปนี้ ซึ่งสรุปได้เป็น 5R’s ดังนี้เลย

Resolve ผู้นำจำเป็นจะต้องระบุปัญหาหรือผลกระทบโดยตรงที่โควิด-19จะนำมาสู่พนักงาน ลูกค้า เทคนิควิธีที่องค์การใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ รวมไปถึงคู่ค้าทางธุรกิจขององค์การด้วย ซึ่งโดยหลักแล้วเรื่อง Resolve จะเป็นการค้นหาผลกระทบโดยตรงทางสังคมจิตใจที่โรคระบาดนี้มีต่อพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าขององค์การ และการดูแลสภาพคล่องขององค์การ รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่น่าพิจารณาเกี่ยวกับพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า พร้อมทั้งตัวอย่างมาตรการที่องค์การในต่างประเทศใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ให้กับพนักงาน คู่ค้า และลูกค้านั้นสามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากรายชื่อเอกสารอ้างอิงท้ายบทความนะคะ

Resilience ผู้นำจะต้องคาดการณ์ให้ได้ถึงประเด็นอุปสรรคปัญหาระยะใกล้ทางด้านการจัดการเงินสด และแผนรับมือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างที่ต้องพักกิจการในช่วงโควิด-19 และช่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิ-19 โดยอาจเริ่มต้นจากการกำหนดและลำดับความเสี่ยงหลัก ๆ ของภาคธุรกิจหรือกิจการ จากนั้นกำหนด Business Scenarios โดยละเอียดสำหรับความเสี่ยงลำดับต้น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ดำเนินการตรวจสอบสถานทางการเงินต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดกรอบเพื่อวางแผนทางการเงิน ออกแบบแผนแทรกแซงในสถานการณ์ต่าง ๆ องค์การอาจสร้าง Cash Management Dashboard ขึ้นเพื่อให้เห็นภาพความเคลื่อนไหวของเงินสดอย่างชัดเจน และควบคุมการไหลเวียนของกระแสเงินสดเพื่อจำกัดความเสียหายขึ้นหากเกิดปัญหาในอนาคต สุดท้ายคือการสร้าง Resilience Dashboard สำหรับติดตามตัวชี้วัดทางธุรกิจหลักทั้งหลายเพื่อปรับตัวให้ทันต่อพลวัตรของสถานการณ์

Return เมื่อสถานการณ์โควิด-19ดำเนินไป และผลกระทบจากสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น ผู้นำต้องสร้างแผนอย่างละเอียดเพื่อกลับมาดำเนินกิจการให้เร็วที่สุด โดย McKinsey & Co. เสนอแผนฟื้นฟูธุรกิจ 6 ขั้นเอาไว้ ทั้งนี้ในบทความชิ้นนี้จะสรุปออกมาให้อย่างสั้น ๆ นะคะ ตัวเต็มสามารถค้นได้จากอ้างอิงเช่นกันค่ะ

1. Restarting Supply Chain นอกจากการเปิดระบบ Supply Chain แล้ว อีกสิ่งที่ต้องทำคือการสร้างเชนทางเลือกเอาไว้ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถจัดการให้เกิดการหมุนวัตถุดิบจำเป็นต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการผลิต และส่งสินค้าออกถึงมือลูกค้าได้

2. Separation of Region ต้องมีการแบ่งพิจารณาการกลับมาดำเนินกิจการเป็นโซน ๆ ไป ทั้งนี้โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ว่ามีความพร้อมที่จะดำเนินกิจการอะไรได้บ้างมากน้อยเพียงใด

3. Testing and Transparency ต้องสร้างให้เกิดความโปร่งใส่ และความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคระบาดภายในพื้นที่เพื่อให้บุคลากรที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สามารถปฏิบัติงานได้

4. Infection Reduction Norms ต้องสร้างนิสัยลดการแพร่ระบาดของโรคให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานปฏิบัติตนเองทั้งในการทำงาน และการใช้ชีวิตปกติอย่างปลอดภัยอยู่เสมอ คือ ทั้งไม่เสี่ยงต่อการรับและแพร่โรคนั่นเอง

5. Health System Capacity ต้องแน่ใจว่าสามารถรักษาความสามารถทางด้านสาธารณสุขเอาไว้ได้ นั่นหมายถึงต้องพร้อมรับมือในสถานการณ์ปัจจุบัน และพร้อมขยายขอบเขตการบริการทางสาธารณสุขหากจำเป็น

6. Rehiring and Retraining ต้องเตรียมพนักงานให้พร้อมรับมือความต้องการที่มาพร้อม Next Normal ที่จะเกิดขึ้นจากโควิด-19

Reimagination ผู้นำต้องเริ่มคิดใหม่ว่าอะไรจะเป็น Next-normal นั่นหมายความว่าต้องนึกให้ออกว่าอะไรที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดที่จะเกิดขึ้น และนัยสำคัญที่การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลกระทบให้องค์การต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ทั้งนี้อาจต้องพิจารณาทั้งในมุมของผู้บริโภค ซัพพลายเชน รัฐบาล กฎหมาย และระเบียบของรัฐ องค์การ และมูลค่าองค์การ ว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านต่าง ๆ นี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อองค์การ ให้องค์การต้องปรับเปลี่ยนไปเช่นไร

Reform ผู้นำต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับกฎระเบียบ และสภาพแวดล้อมเชิงการแข่งขันที่อาจเปลี่ยนแปลงไปภายในกลุ่มธุรกิจที่องค์การดำเนินธุรกิจอยู่

แต่การจัดการทั้ง 5 Rs ที่กล่าวถึงไปนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพื้นฐานที่เป็นการทำงานแบบทีมของทีม (Team-of-teams approach) ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่าศูนย์กลางประสาท (Nerve Center) นั่นเอง เหตุเพราะการดำเนินธุรกิจในภาวะปกตินั้นไม่สามารถรองรับความจำเป็นในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางแบบนี้ได้ดีเพียงพอ อันเนื่องจากมีหลายอย่างที่ต้องทำพร้อม ๆ กัน การพึ่งพาคนเพียงคนเดียวในการนำพาองค์การจึงเป็นไปได้ยาก

McKinsey & Co. จึงเสนอว่า Team of Teams ประกอบด้วย 4 ทีมที่ทำหน้าสำคัญ โดยแบ่งตามจุดมุ่งเน้น 2 จุด ได้แก่ จุดมุ่งเน้นเรื่องการดำเนินกิจการในภาวะปัจจุบัน และจุดมุ่งเน้นเรื่องการวางแผนเพื่ออนาคต โดยทีมทั้ง 4 ได้แก่

1.  Deliver Team ทีมนี้เป็นทีมลงมือทำอย่างแท้จริง ทำหน้าที่ในการส่งมอบสินค้า และบริการอย่างรวดเร็วไร้ที่ติโดยยึดเอาลำดับความสำคัญตามที่ทีมตัดสินใจได้กำหนดไว้

2. Decide Team ทีมนี้เป็น “สหทีม” คือ เป็นทีมที่รวมเอาทีมปฏิบัติการมาร่วมกัน ทำหน้าที่ในการประกับประคองให้บรรลุเป้าหมายการส่งมอบสินค้าและบริการ และทำหน้าที่ในการเลือกแผนยุทธศาสตร์ให้ทีม Deliver

3. Discover Team ทำหน้าที่เป็นทีมวางแผนธุรกิจ (Scenario Planning) ซึ่งประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว พร้อมทั้งระบุว่านัยสำคัญของสถานการณ์ที่คาดการณ์ต่อองค์การเป็นอย่างไร และกำหนด Scenario plan สำหรับทีมอื่น ๆ

4. Design Team ทำหน้าที่ในการออกแบบแผนกลยุทธ์ที่มีรายละเอียดพร้อมสำหรับการนำเอาไปปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับ Scenario Plans ที่ออกมาจากทีม Discover

สุดท้ายอยากจะฝากมุมมองถึงภาพอนาคตให้ท่านผู้อ่านได้มีไว้เป็นไกด์ไลน์สำหรับการวางแผนในอนาคตต่อไป ที่ผ่านมาร่วม 3 เดือนกับสถานการณ์โควิด-19 เจ้าโรคระบาดนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่าง ๆ ทั้งทางสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง รวมไปถึงสภาพแวดล้อมบนโลกของเราอย่างมาก ศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีได้เสนอสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการมาถึงของโควิด-19 ดังนี้

1. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงเทคโนโลยีจักรกลอัจฉริยะจะเข้มแข็ง และมีอำนาจมากกว่าเดิม

2. อุตสาหกรรมที่อาจจะฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นคืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสายการบินเนื่องจากธรรมชาติของโรคระบาด ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสอันดีในการปรับปรุงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้ภายในกิจการ รวมทั้งพัฒนาบุคลากรในการให้บริการ และรูปแบบสำหรับการให้บริการในอนาคตได้

3. วัฒนธรรมการทำงานแบบ Remote Working หรือ Work From Home จะเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในสังคม

4. การลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมการทำงานกลายเป็นเรื่องสำคัญขององค์การเพื่อให้สามารถรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่เริ่มคาดการณ์ได้ยากขึ้น

5. ระบบสาธารณสุข และการพัฒนาระบบสาธารณสุขคือหัวใจสำคัญของสังคมทุกระดับที่ละเลยความสำคัญไปไม่ได้

6. ธุรกิจต่าง ๆ อาจต้องมีการวางแผนการดำเนินธุรกิจให้ลดการพึ่งพาต่างชาติลง หรือต้องวางแผนรองรับให้มีกระแสรายได้ หรือสินค้า และวัตถุดิบจากภายในประเทศด้วย

7. ช่องทางการขายสินค้า และบริการผ่านเครือข่ายออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นของธุรกิจ

ความไม่แน่นอนทั้งหลายบนโลกนี้คือสิ่งที่แน่นอนเสมอ สิ่งที่มนุษย์ และองค์การต่าง ๆ ที่อาจมีชีวิตได้ยืนยาวกว่ามนุษย์คือการเรียนรู้ ปรับตัว และเตรียมพร้อมอยู่เสมอถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสิ่งที่เราคาดไม่ถึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะผ่าน และเรียนรู้ไปด้วยกันได้อย่างดีค่ะ

ช่วงนี้ขอให้รักษาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย และจิตใจให้แข็งแรงนะคะ

References

McKinsey and Company. (2020, April). COVID-19:   Implications for Business. Retrieved from McKinsey and Company:   https://www.mckinsey.com/business-functions/risk/our-insights/covid-19-implications-for-business

McKinsey and Company. (2020, April 3). COVID-19:   Briefing Materials - Global Health and Crisis Response. Retrieved from   McKinsey and Company:   https://www.mckinsey.com/~/media/mckinsey/business%20functions/risk/our%20insights/covid%2019%20implications%20for%20business/covid%2019%20march%2030/covid-19-facts-and-insights-april-3.ashx

World Economic Forum in Collaboration with Havard   Global Health Instituute. (2019, January). Outbreak Readiness and Business   Impact: Protecting Lives and Livelihoods across the Global Economy.   Retrieved from WeForum:   http://www3.weforum.org/docs/WEF%20HGHI_Outbreak_Readiness_Business_Impact.pdf

Tag:
No items found.
Share this post:
ธนิสา แดงสี

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024