>
ถอดรหัส “พระมหาชนก” ตอนที่ 1
January 20, 2021

ถอดรหัส “พระมหาชนก” ตอนที่ 1

ถอดรหัส “พระมหาชนก” จากมุมมองด้านการพัฒนามนุษย์และองค์การอัจฉริยภาพอันสร้างสรรค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“พระมหาชนก” ถือเป็นพระราชนิพนธ์ชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้รับความชื่นชมและยกย่องทั้งในแง่ของคุณค่าความงดงามทางภาษา คุณค่าในเชิงคติธรรมและการนำไปตีความในสาขาวิชาการด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง สำหรับบทความชิ้นนี้ เป็นความพยายามของผู้เขียนที่จะ “อ่านและตีความ” คุณค่าของพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” จากมุมมองเล็กๆของนักวิชาการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การคนหนึ่งซึ่งต้องการใช้สติปัญญาเท่าที่พึงจะมีสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การอันยิ่งใหญ่ที่บรรจุอย่างลึกซึ้งอยู่ในวรรณกรรมเพชรน้ำเอกชิ้นนี้ โดยผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่าพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ถือเป็นหนังสือตำราชิ้นเอกที่แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไว้ทั้งอย่าง “ชัดเจน” และที่ “ซ่อนเร้นแนบนัย” ซึ่งต้องใช้สติปัญญาในการอ่านและตีความอย่างแยบคาย

พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กับแนวคิดการพัฒนามนุษย์และองค์การ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาชาดกเรื่องนี้แล้ว ได้ทรงบำเพ็ญวิริยะศึกษาค้นคว้า, แปลและดัดแปลงเป็นพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” ด้วยภาษาที่ง่ายขึ้นแต่วิจิตรงดงามยิ่ง แลเมื่อผู้เขียน – ในฐานะของนักวิชาการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การ – ได้อ่านด้วยความประทับใจทั้งในสุนทรียรสทางภาษาอันอลังการ (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ), ความวิจิตรพิสดารของภาพประกอบ แล้วพินิจพิเคราะห์ตัวบทเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ผ่านเลนส์ของวิชาการด้านการพัฒนามนุษย์และองค์การ และด้วยสติปัญญาอันจำกัดของผู้เขียนเอง ผู้เขียนพบว่าตัวบทพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” มีกลวิธีการเขียนและการนำเสนอที่ซ่อนเร้น “คติธรรม” อันจะเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กรไว้อย่างแยบยลยิ่งนัก โดยในที่นี้ ผู้เขียนจะขอนำเสนอคติธรรมสำหรับวิชาการและเป็นแนวปฏิบัติสำหรับแวดวงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การไว้ 3 ประการ ดังนี้

1) คติธรรมการพัฒนามนุษย์ให้มี “ความเพียรโดยธรรม”

2) คติธรรมการพัฒนามนุษย์ตามแนวทาง “การอนุบาลต้นมะม่วง”

3) คติธรรมการพัฒนาองค์การโดย “การตั้งสถาบันอบรม”

การพัฒนามนุษย์ให้มี “ความเพียรโดยธรรม”

ดังที่ได้กล่าวแต่เบื้องต้นแล้วว่าความโดดเด่นของวรรณคดีชาดก “มหาชนก” คือเรื่องของการบำเพ็ญความเพียรหรือวิริยบารมี ผู้รู้ที่กล่าวถึงคติธรรมเรื่องนี้มักจะยกเอาตอนสำคัญคือ “พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร 7 วัน” มาเป็นอุทาหรณ์ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการกล่าวถึงข้อความในชาดกต้นตำรับของเรื่องนี้ว่าเมื่ออ่านแล้วสามารถจินตนาการวาดรูปลักษณะของพระมหาชนกว่า

“…เป็นผู้มีมานะเข้มแข็งมาแต่เด็ก... พออายุ 16 ปี ก็สามารถลงเรื่อสำเภา โดยอ้างว่าจะมาทำการค้าขายทางสุวรรณภูมิ (คือดินแดนที่เป็นเมืองเราในเวลานี้) มาตามทางเรือแตก คนอื่นๆจมน้ำ และเป็นอาหารของปลาร้ายถึงแก่ความตายหมดสิ้น เหลือแต่พระมหาชนกองค์เดียวยังมีชีวิตอยู่ในน้ำได้ถึง 7 วัน”

ผู้อ่านจะสามารถซึมซับความข้อนี้ได้อย่างละเอียดพิสดารมากขึ้นในพระราชนิพนธ์พระมหาชนก โดยเฉพาะในบทที่ ๑๗ อันเป็นบทสนทนาระหว่างพระมหาชนกกับพระมารดา ซึ่งเป็นบทที่สะท้อนถึง “ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว” ของพระมหาชนก

“...”ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันจักไปเมืองสุวรรณภูมิ.” พระนางตรัสห้ามว่า : “ลูกรัก ชื่อว่ามหาสมุทรสำเร็จประโยชน์น้อย มีอันตรายมากอย่าไปเลย. ทรัพย์ของพ่อมีมากพอประโยชน์ เอาราชสมบัติแล้ว.” พระกุมารทูลว่า : “หม่อมฉันจักไปแท้จริง.” ทูลลาพระมารดาถวายบังคม กระทำประทักษิณ แล้วออกไปขึ้นเรือ.”

แต่เมื่อขึ้นเรือ แล่นเรือมาได้ 7 วัน ต้องเผชิญกับภาวะ “เรือแตก”

“พวกพาณิชประมาณเจ็ดร้อยคนขึ้นสู่เรือ. เรือแล่นไปได้เจ็ดร้อยโยชน์ ใช้เวลาเจ็ดวัน. เรือแล่นด้วยกำลังคลื่นที่ร้ายกาจ ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ แผ่นกระดานก็แตกด้วยกำลังคลื่น น้ำเข้ามาแต่ที่นั้นๆ เรือก็จมลงในกลางมหาสมุทร. มหาชนกลัวมรณภัย ร้องไห้คร่ำครวญ กราบไหว้เทวดาทั้งหลาย...”

ในขณะที่เรือกำลังจะแตก ผู้คนทั่วไปกำลังแตกตื่น เอาแต่ร่ำร้อง คร่ำครวญ กราบไหว้เพรียกหาความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คำถามคือพระมหาชนกมีปฏิกริยาต่อเหตุการณ์อันฉุกเฉินน่าหวาดกลัวต่อภัยอันมหันต์ต่อชีวิตนี้อย่างไร?

“...แต่พระมหาสัตว์ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรงคร่ำครวญ ไม่ไหว้เทวดาทั้งหลาย. พระองค์ทรงทราบว่าเรือจะจม จึงคลุกน้ำตาลกรวดกับเนย เสวยจนเต็มท้อง แล้วชุบผ้าเนื้อเกลี้ยงสองผืนด้วยน้ำมันจนชุ่ม ทรงนุ่งให้มั่น. ทรงยืนเกาะเสากระโดง ขึ้นยอดเสากระโดงเวลาเรือจม. มหาชนเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า น้ำโดยรอบมีสีเหมือนโลหิต. พระมหาสัตว์เสด็จไปทรงยืนที่ยอดเสากระโดง. ทรงกำหนดทิศว่า เมืองมิถิลาอยู่ทิศนี้ ก็กระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพ้นฝูงปลาและเต่า ไปตกในที่สุด อุสภะหนึ่ง (70 เมตร) เพราะพระองค์มีพระกำลังมาก.

เนื้อความข้อนี้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เขียนบทความชิ้นนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้เขียนพบว่าเป็นข้อความที่ได้แอบแฝงคติธรรมที่สำคัญๆ หลายประการ คติธรรมเท่าที่ผู้เขียนพอจะจับความได้ตามความเข้าใจด้วยสติปัญญาอันจำกัดของผู้เขียน มีอาทิ

> ความมีสติสัมปชัญญะ เนื้อความข้างต้นเป็นคติธรรมเตือนใจสาธุชนให้ตั้งมั่นในการมีสติสัมปชัญญะ ทั้งในยามปกติและแม้เมื่อมีภัยพาลบังเกิดขึ้น ก็ไม่ควรตื่นเต้นทุรนทุรายจนเกินควร ควรตั้งสติให้มั่น รวบรวมสัมปชัญญะเพื่อฝ่าฟันผ่านวิกฤตให้ได้ ฉะนั้น ผู้ใดมีสติสัมปชัญญะ ผู้นั้นย่อมมีโอกาสรอดพ้นจากภัยพาลมากกว่าผู้อื่น

> ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เนื้อความข้างต้นสะท้อนถึงค่านิยมที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะพึ่งตนเองอย่างเข้มแข็ง ไม่ว่าจะในยามปกติสุขหรือเมื่อภัยพาลมาย่ำกราย สาธุชนมิพึงคร่ำครวญ ร่ำร้องโวยวาย เรียกร้องความสงสารเห็นอกเห็นใจและแบมือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นมิว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ องค์กร รัฐบาล หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำหรับผู้เขียนแล้วถือว่านี่คือคติธรรมอันประเสริฐยิ่งที่จะช่วยแก้ไขจุดอ่อนที่สำคัญของปุถุชนไทยทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งกำลังถูกสั่งสอนอบรมและหล่อหลอมให้กลายเป็นชนชาติที่ไม่ชอบการพึ่งตนเองได้ แต่กลับนิยมชมชอบผู้ที่จะมาแจก มาปรนเปรอ มาให้ทั้งในรูปของวัตถุและการบริการ จนสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการใช้ความมานะพยายามของการยืนบนลำแข้งของตนเอง และเมื่อใดที่ถูกตัดขาดจากการให้ความช่วยเหลือ หรือเมื่อต้องผจญกับภัยพาล มหาชนเหล่านี้ก็มักจะออกมาคร่ำครวญ ร่ำร้องโวยวายโจมตีว่า “เพราะความไม่เป็นธรรม”, “เพราะสองมาตรฐาน”, “เพราะโครงสร้างอันเหลื่อมล้ำ” เราจึงต้องผจญภัยพาลเช่นนี้ ฯลฯ สุดท้าย ถึงที่สุดหมู่ชนเหล่านี้ก็ก้าวล่วงไปถึงขั้นของการด่าทอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “เพราะเทวดาไม่อารักษ์” พวกเราจึงต้องเผชิญทุกข์เช่นนี้ โดยมิได้หันกลับมามองตนเองว่าได้ใช้ความเพียรในการพึ่งตนเองเพียงพอแล้วหรือยัง ในทางตรงกันข้าม พระราชนิพนธ์พระมหาชนกสะท้อนให้เห็นคติธรรมที่ว่า เมื่อภัยมาถึงพระมหาชนก “ไม่ทรงกันแสง ไม่ทรงคร่ำครวญ ไม่ไหว้เทวดาทั้งหลาย” กล่าวคือไม่ร้องให้ พร่ำเพ้อคร่ำครวญ ร่ำร้องโวยวายเรียกร้องความสงสารเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือจากใคร แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตระหนักว่าด้วยสติปัญญาและการหยัดยืนด้วยตนเองเท่านั้นคือหนทางแห่งความรอด

> การมีเป้าหมายเข็มมุ่งที่ชัดเจนในชีวิต สิ่งที่ทำให้พระมหาชนกสามารถครองสติสัมปชัญญะได้อย่างดี อีกทั้งหยัดยืนด้วยความสามารถแห่งตนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวนั้น สาเหตุสำคัญก็เนื่องเพราะการมี “เป้าหมายที่ชัดเจน” : “ฉันจักไปเมืองสุวรรณภูมิ” “ฉันจักไปแท้จริง” ดังนั้น แม้นในยามมหันตภัยมาเยือน พระมหาชนกก็มิได้สะทกสะท้านโลเลอ่อนข้อให้ แต่ยังคงยืนหยัดในเป้าหมายที่มุ่งมั่น “...ทรงกำหนดทิศว่า เมืองมิถิลาอยู่ทิศนี้ ก็กระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพ้นฝูงปลาและเต่า…” ในขณะที่ มหาชนผู้โลเลไร้จุดหมายมืดบอดในชีวิตที่แน่นอนล้วนต่างต้องเผชิญกับชะตากรรมคือกลายเป็น “เป็นภักษาแห่งปลาและเต่า” ไป ดังนั้น การปลูกฝังให้คนมีเป้าหมายแห่งชีวิตที่ชัดเจน ถือเป็นคติธรรมอีกข้อหนึ่งที่สำคัญสำหรับการพัฒนามนุษย์

> การมีความรู้ปัญญา นอกจากการมีสติสัมปชัญญะ, การยึดถือคุณค่าแห่งการพึ่งตนเอง และการมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแล้ว คติธรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ซ่อนเร้นเป็นรหัสนัยอยู่ในข้อความข้างต้นของพระราชนิพนธ์พระมหาชนกก็คือ “สาธุชนพึงมีปัญญาความรู้คู่กาย” ปัญญาความรู้จะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถเอาตัวรอดได้อย่างยั่งยืน ผู้อ่านบทความชิ้นนี้คงตั้งคำถามว่า “คติธรรมข้อนี้ปรากฎอยู่ตรงส่วนใดในข้อความข้างต้นของพระราชนิพนธ์พระมหาชนก?” ผู้เขียนก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า “มีผู้อ่านท่านใดตั้งข้อสงสัยไหมว่าเหตุใดพระมหาชนกจึงว่ายน้ำลอยตัวอยู่เหนือน้ำได้ถึง 7 วัน?” ตรงนี้แลคือความรู้หรือภูมิปัญญาที่มีมาแต่โบราณ ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ใคร่ขอยกเอาข้อเขียนของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ผู้ช่วยไขข้อข้องใจและอธิบายความว่านอกจากสติสัมปัชัญญะแล้ว ภูมิปัญญาความรู้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรารอดพ้นภาวะวิกฤต

Tag:
No items found.
Share this post:
ผศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี
คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นิด้า

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024