>
พนักงานควรเข้า Office กี่วันในยุค Work From Anywhere?
March 26, 2022

พนักงานควรเข้า Office กี่วันในยุค Work From Anywhere?

บริบทของโลกทำงานหลังยุค 2019 เป็นต้นมามีการปรับเปลี่ยนเรื่องนิยามของคำว่า workplace หรือ สถานที่ทำงานมากขึ้น บริษัทต่าง ๆ มีการใช้ข้อกำหนดเรื่อง work from home โดยให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์การควบคุมโรคระบาดเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้หลาย ๆ องค์กรมีแนวคิดที่จะพาพนักงานกลับ office เหมือนเดิม (บางองค์กรเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “กลยุทธ์” เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากมีผลกระทบในวงกว้างต่อสภาพการทำงาน และความคุ้นชินของพนักงาน)

บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Apple, Salesforce, Twitter, Ford Motor, JP Morgan, Bang of America, Facebook หลังจากที่กำหนดนโยบาย “return to office” หรือกลับมานั่งทำงานที่ออฟฟิศกันเถอะ ก็ได้รับเสียงตอบรับ (ที่ไม่ค่อยดี) จากพนักงานทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดวันที่ต้องกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน ซึ่งบางองค์กรกำหนดไม่เท่ากัน เช่น สองวันต่อสัปดาห์ หรือสามวันต่อสัปดาห์ ยิ่งทำให้พนักงานต่างเปรียบเทียบกันตลอดเวลาว่าสรุปแล้วรูปแบบที่ถูกต้องของแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่มันควรจะมีจุดที่ลงตัว (Sweet Spot) อย่างไร?

การวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมต่อการเตรียมสร้างการเปลี่ยนแปลงในการทำงานควรได้รับการพูดคุยในระดับบริหารอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะดำเนินการในวงกว้าง เนื่องจากอย่าลืมว่า มนุษย์เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองมาแล้วเกือบ ๆ สองปีเต็ม (หรือบางคนอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ) การที่จู่ ๆ จะไม่ให้ช่วงเวลาในการปรับตัวย่อมส่งผลที่ไม่ดีต่อทั้งสภาพจิตใจของพนักงาน ครอบครัวพนักงาน รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลด้วย

การตั้งคำถามที่ดีก่อนทำ Hybrid work model

ผู้บริหาร และ HR ควรเตรียมการตั้งคำถามก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิธีการทำงานแบบ Hybrid โดยอาจใช้แนวทางดังต่อไปนี้ในการทบทวนก่อนเสนอกลยุทธ์ในการสร้าง hybrid work model ต่อไป เช่น

> สถานที่ที่ทำให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ติดต่อกับหน่วยงานอื่นได้รวดเร็วที่สุด และสามารถแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด คือการทำงานแบบไหน?

> สถานที่ที่คิดว่าจะสามารถช่วยระดมสมอง สร้างแนวทางการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ต้องการหลากหลายความคิดเห็น และต้องการความคิดสร้างสรรค์ควรจะเกิดขึ้นที่ไหน?

> การสร้างวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทั้งแบบรายบุคคล หรือแบบออนไลน์ ควรจะออกแบบอย่างไรให้ผสมกันอย่างลงตัวที่สุด?

> เรายอมรับความยืดหยุ่นของความต้องการของพนักงานในแต่ละหน่วยงานได้มากน้อยแค่ไหน? (เช่น ระหว่างหน่วยงานบัญชี และหน่วยงานพัฒนาผลิตภัณฑ์)

ในบางกรณีบางองค์กรที่รองรับการทำงานที่ยืดหยุ่นได้มากพอ อาจออกแบบการเข้าออฟฟิศได้ถึงขั้นแยกเป็นรายบุคคลได้เลย อาทิ เช่น บริษัทขายของออนไลน์ต่าง ๆ ที่สามารถให้พนักงานบางคนที่มีผลการปฏิบัติงานตอน remote work สูงมาก ๆ สามารถทำงานจากที่บ้านได้ โดยจะเข้ามาที่ office เพียงแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้น เป็นต้น

คุณ Lynda Gratton จากสถาบัน Future of Work และ London Business School ยกตัวอย่างรูปภาพการทำงานด้านบนเพื่อแสดงให้เห็นความยืดหยุ่นของการทำงานว่า องค์กรสามารถเลือกได้โดยใช้เกณฑ์ของ สถานที่ และเวลาในการกำหนดรูปแบบการทำงานแบบ hybrid ยกตัวอย่างเช่น คนที่จำเป็นต้องเข้ามาที่ office เพื่อพบลูกค้าหรือเพื่อพูดคุยแก้ปัญหากับลูกค้าที่สำนักงาน อาจจะต้องเลือกวิธีที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ในขณะที่ทีมที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เช่น นักโปรแกรมมิ่ง สามารถตื่นขึ้นมาทำงานตอนตีสาม เพื่อส่งงานให้ทัน timeline ที่วางไว้ ก็ทำได้เช่นกัน โดยที่ทั้งพนักงานและองค์กรต่างได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั่นเอง

แล้วพนักงานควรเข้ามา office ที่วันล่ะ?

Prithwiraj (Raj) Choudhury, Tarun Khanna, Christos A. Makridis และ Kyle Schirmann จากมหาวิทยาลัย Harvard Business School ได้ทดลองทำวิจัยร่วมกันในปี 2020 ที่ประเทศบังคลาเทศ โดยใช้ระยะเวลา 9 สัปดาห์ในการทดสอบ โดยพวกเขากำหนดให้พนักงานในบริษัทแห่งหนึ่งทำงานจากที่บ้านโดยใช้การสุ่มตัวเลขซึ่งแต่ละคนจะได้วันที่ได้ทำงานจากที่บ้านไม่เหมือนกัน จากนั้นทีมงานก็วิเคราะห์จากประสิทธิภาพของการทำงาน เช่น จำนวน email, ความเร็วในการตอบ, ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ต่าง ๆ ที่ได้ในระหว่างการทำงานทั้ง 9 สัปดาห์ เพื่อหาจุดที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากทดลองครบตามเวลาที่กำหนด ผลปรากฏว่ากลุ่มที่เข้ามาทำงาน 1-2 วันต่อสัปดาห์ มีความสุขมากกว่ากลุ่มที่ทำงานจากที่บ้านตลอดระยะเวลา โดยมีค่าความสัมพันธ์ในการสื่อสารแบบตัวบุคคล สูงถึง 23-40% เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ

จากผลการวิจัยดังกล่าว สิ่งที่น่าสนใจคือ

> การกำหนดวันเข้าออฟฟิศสอง หรือแม้กระทั่งวันเดียว ก็สามารถส่งผลให้ผลลัพธ์ของการทำงานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งไม่ทำให้เกิดความรู้สึกต่อไม่ติด หรือขาดการติดต่อกับเพื่อนร่วมงานด้วย

> การทำงานแบบเข้าออฟฟิศบ้างเป็นบางวันทำให้ email งานมีการถูกส่งสูงขึ้น 50%

อย่างไรก็ตามผลการวิจัยนี้ยังมีจุดอ่อน หรือจุดโต้แย้งอยู่หลายประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ จำนวน email อาจจะไม่ได้เป็นตัวปัจจัยที่เราใช้วัดประสิทธิภาพของการทำงานเชิงคุณภาพได้ดีนัก เป็นต้น

ซึ่งในผลงานวิจัยชิ้นนี้เอง คณะวิจัยก็ยังกล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า งานวิจัยในอนาคตควรค้นหารูปแบบการวัดสิ่งที่เรียกว่า productivity ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะการกำหนดนโยบายเรื่อง hybrid จำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้วัด เพราะหากองค์กรออกแบบมาไม่ดี มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียทรัพยากรและความสามารถในการแข่งขันได้เยอะทีเดียว

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ แท้จริงแล้วคำแหน่งระดับผู้บริหาร หรือ CEO มีการทำงานแบบ hybrid ด้วยตัวเองอยู่แล้ว โดยจากผลการสำรวจพบว่า CEO ทำงานใน office เพียง 47% เท่านั้น (จากผลสำรวจปี 2018)

สิ่งสำคัญคือ การแยกเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพเท่า ๆ กัน

การสร้างบรรยากาศในการทำงานแบบ hybrid ที่ดีนั้น นอกเหนือจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ หรือนโยบายที่ดีแล้ว การปลูกฝังจิตสำนึกของพนักงานในการแยกเวลางานออกจากเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาจากการ exit interview มีการพบว่าพนักงานลาออกเนื่องจากปัญหาทางสุขภาพจิตมากขึ้น และสาเหตุมาจากโรคกลัว notification หรือการแจ้งเตือนเวลามีคนทักหาใน chat application เป็นต้น บางคนถึงขึ้นไม่อยากเปิดโทรศัพท์ดูเลยก็มี

ดังนั้นการสร้างสุขภาวะที่ดีในองค์กรคือ ผู้บริหารและผู้จัดการทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสร้างแบบอย่างที่ดีกับพนักงานในองค์กร ทั้งการไม่ทักเรื่องงานนอกเวลามากเกินไป หรืออาจใช้การ communication ภาพรวมว่า หากทักไปนอกเวลางาน ไม่จำเป็นต้องอ่าน แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงจริง ๆ จะใช้วิธีการโทรศัพท์หาเป็นต้น เมื่อทั้งองค์กรคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้แล้ว พนักงานก็จะมีความสบายใจ และสามารถใช้เวลาส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนั่นเอง

อ้างอิง

Is Hybrid Work the Best of Both Worlds? Evidence from a Field Experiment (hbs.edu)

What’s the ideal amount of in-office time? New research may point to a “sweet spot” (morningbrew.com)

Return-to-Office: A New Competitive Strategy - Bloomberg

How CEOs Should Manage Their Time in the Hybrid Workplace (hbr.org)

Tag:
No items found.
Share this post:
ภคภัค สังขะสุนทร

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024