>
แนวคิด “แมวไม่อยู่หนูไม่ทำงาน” จะบริหารคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไร – Management 3.0
June 8, 2021

แนวคิด “แมวไม่อยู่หนูไม่ทำงาน” จะบริหารคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไร – Management 3.0

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีหลายระลอก การ Work from Home ได้กลายเป็น New Normal ที่ถูกบังคับโดยปริยาย หัวหน้ามีคำถามว่า “แล้วจะจับมือใครดมได้ว่าใครทำงานหรือไม่ทำงาน” เพราะ หัวหน้าอาจมีความคิดว่า “แมวไม่อยู่หนูไม่ทำงาน” จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะหัวหน้าเท่านั้นที่คิดแบบนี้ ลูกน้องบางคนก็คิดว่า “แมวไม่ไล่หนูก็ไม่ทำงาน” จึงเป็นเหตุผลที่มาจากความเชื่อ (และติดนิสัย) ของทั้งหัวหน้าและลูกน้องที่ต้องเกื้อกูลกันมาเป็นเวลานานว่าหัวหน้ามีหน้าที่ติดตามงานลูกน้อง และลูกน้องก็ต้องรอให้หัวหน้าสั่ง ไม่เช่นนั้นลูกน้องไม่รู้จะต้องทำอะไรและไม่มีอะไรทำ และหัวหน้าต้องตามงานลูกน้องจึงมีแรงกดดันให้ทำงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด เนื่องจากลูกน้องไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจจากข้างในได้เพราะแรงขับมาจากความกดดันจากหัวหน้า

เมื่อโลกเปลี่ยนไปวิธีบริหารก็ต้องเปลี่ยนแปลงภายใต้การแข่งขันที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และหยุดนิ่งไม่ได้แม้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นการทำงานที่บ้าน WFH สลับกับ WFO ที่จะเกิดผลลัพธ์เท่าเดิมและมากขึ้นกว่าเดิมนั้นจะต้องบริหารงานและคนอย่างไร หลายองค์กรเริ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารแล้ว หากผู้บริหารยังติดความเชื่อเดิมๆ นี้อยู่ จะปลดล็อคได้อย่างไร ผู้บริหารจะวางระบบและเทคโนโลยีให้รองรับกับการทำงานแบบไม่ต้องเป็น “แมวไล่หนู” อีกต่อไปได้อย่างไร ถึงตรงนี้ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีคำตอบในใจว่า การบริหารแบบ “แมวไล่หนู” ไม่เหมาะกับยุคนี้อย่างยิ่ง

ปัจจุบัน Management 3.0 ได้ถูกกล่าวถึงอย่างมากเมื่อผู้บริหารเริ่มมองหาแนวคิดในการบริหารสำหรับยุค New Normal ซึ่ง เจอร์เกน อัปเปโล (Jurgen Appelo) จากเนเธอร์แลนด์ ได้กำหนดแนวคิด Management 3.0 หลังจากที่ได้รวบรวมแนวทางปฏิบัติและแนวคิดที่ได้ทดลองในบริษัทต่างๆทั่วโลกและรวบรวมบทเรียนที่ได้เรียนรู้เป็นวิธีการในทางปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการจัดการขององค์กร และเขาได้ออกหนังสือ  Management 3.0: Leading Agile Developers, Developing Agile Leaders ในปี 2011 จึงทำให้แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทย

เรามาทำความเข้าใจ Management 1.0 Management 2.0 อย่างย่อๆ กันดังนี้  Management 1.0: “Doing the wrong thing.” (ทำสิ่งที่ผิด) เป็นความคิดแบบดั้งเดิมที่เน้นเรื่อง ลำดับชั้น การสั่งการและการควบคุมในยุคปฏิวัติอุสาหกรรม Management 2.0: “Doing the right thing wrong.” (ทำสิ่งที่ถูกต้องในวิธีที่ผิด) แม้ว่าได้มีการนำเครื่องมือการบริหารคนและคุณภาพ เช่น Balanced Scorecard, Six Sigma, Total Quality Management มาใช้เพื่อแก้ปัญหา แต่ยังคงใช้โครงสร้างและพฤติกรรมจาก Management 1.0 เช่น ลําดับชั้น การสั่งการ การควบคุม และการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ดังนั้น “แมวไม่อยู่หนูไม่ทำงาน” ยังคงอยู่ใน Management 2.0

Management 3.0: “Doing it right.” ทำถูกต้อง  เป็น ซึ่ง เจอร์เกน ได้ให้นิยามไว้ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายนวัตกรรม ความเป็นผู้นําและการจัดการ นอกจากนี้ Management 3.0 ยังเป็นการกําหนดนิยามของความเป็นผู้นําใหม่โดยมีฝ่ายบริหารเป็นความรับผิดชอบของกลุ่ม (group responsibility) เป็นการทํางานร่วมกันเพื่อค้นหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสําหรับธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในขณะที่พนักงานมีความสุขกับการทำงาน Management 3.0 จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติ ภายใต้โครงสร้างที่ยืดหยุ่นและเป็นโครงสร้างที่มีชีวิตมากขึ้น ซึ่งส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจแบบกระจายอํานาจมากขึ้น กล่าวโดยสรุป Management 3.0 เน้นเรื่องความผูกพันของคน (Engage People) การพัฒนารูปแบบการทำงาน (Improve Work) และ การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า (Delight Clients)

จากประสบการณ์ที่เจอร์เกนทํางานเป็นผู้จัดการในองค์กรมาก่อน เขาจึงมองว่าการจัดการไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของผู้จัดการเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของทุกคน และให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบร่วมกัน และด้วยการบริหารจัดการที่ไม่ดีเป็นจุดเริ่มต้นทฤษฏีของเขาเพราะเป็นหนึ่งในอุปสรรคต่อการบริหารจัดการที่คล่องตัว (Agile Management) ซึ่งเจอร์เกนได้เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆว่า ผู้จัดการที่ agile เหมือนคนสวนที่ดูแลต้นในสวนของเขา ดังนั้นเขาจึงสร้างรั้วรอบสวนเพื่อปกป้องต้นไม้ ใส่ปุ๋ย รดน้ำ แยกต้นไม้บางชนิดออก และอื่น ๆ ซึ่งถ้าเขาใส่ใจต้นไม้ของเขา ต้นไม้ก็เติบโตและเจริญงอกงาม แต่ถ้าเขาบังคับให้มันโต อาจจะไม่เกิดอะไรขึ้น และอาจจะเหี่ยวเฉาตายไป  

เมื่อผู้บริหารต้องการเห็นการทำงานที่รวดเร็วคล่องตัว ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายบริหารทุกระดับจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมและความเชื่อใหม่ที่ไม่ใช้ “แมวไล่หนู” และนำ Management 3.0 ที่มีเครื่องมือที่น่าสนใจหลายตัวมาปรับใช้ภายในองค์กรของท่านให้มีการทำงานที่รวดเร็ว ด้วยวิธีการบริหารจัดการ 3.0 ที่มีประสิทธิภาพ

Tag:
No items found.
Share this post:
นพพร โสวรรณะ (หนุ่ย)

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024