>
องค์การของคุณแข็งแรงดีรึเปล่า?
December 20, 2020

องค์การของคุณแข็งแรงดีรึเปล่า?

การวินิจฉัยองค์การด้วย Organizational Diagnosis Questionnaire

ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง…

องค์การที่ไม่แข็งแรง ก็เหมือนคนเจ็บป่วย หลายครั้งอาการเจ็บป่วยร้ายแรงของคนเราก็ไม่ได้แสดงอาการให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโรคร้าย จนเจ้าของร่างกายปล่อยปละที่จะไปหาหมอตรวจสุขภาพและรับการรักษาเสียตั้งแต่ต้นมือแล้วหละก็ ความเจ็บป่วยนั้นอาจรุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิตคนได้เหมือนกัน หลายคนท้ายที่สุดก็ได้รับการรักษาแต่ความรุนแรงของโรคก็ยังพรากชีวิตเขาไปอยู่ดี...ไม่ต่างอะไรกันเลยกับองค์การ

มุมมองต่อองค์การตามทฤษฎีองค์การนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่เปรียบองค์การเป็นเครื่องจักร (Organization as Machine) และกลุ่มที่เปรียบองค์การเป็นสิ่งมีชีวิต (Organization as Organism) ซึ่งยิ่งเราเติบโตตามอายุของดาวโลกที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเราจะพบว่าองค์การก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิต มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง บ้างก็อยู่รอดได้ บ้างก็แตกสลายดับไป บ้างก็อายุยืนยาว บ้างก็อายุสั้นอย่างน่าใจหาย ดังนั้นคงไม่เป็นการแปลกถ้าในวันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องสุขภาพขององค์การ

ตรวจสุขภาพ...

คนเราป้องกันโรคด้วยการรับการตรวจสุขภาพประจำปีจากแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบต่างๆภายในร่างกายของเรานั้นทำงานได้อย่างดี ไม่มีอะไรติดขัดหรือทำงานบกพร่องผิดปกติไป และเพื่อแน่ใจว่าหากเจอโรคก็จะเป็นในระยะต้นๆ ที่ตัวเราจะยังมีความหวังในการรักษาให้หายขาดจากโรคนั้นได้ องค์การก็สามารถรับการตรวจวินิจฉัยโรคได้เช่นกัน โดยการตรวจวินิจฉัยโรคขององค์การนั้นเราเรียกว่า การตรวจวินิจฉัยองค์การ (Organization Diagnosis)

การวินิจฉัยเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการที่เรียกว่า Action Research ซึ่งเป็นกระบวนการสำหรับการพัฒนาองค์การ (Organization Development) ซึ่งหากพิจารณาคร่าวๆ ก็จะพบว่ากระบวนการ Action Research นั้นจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักสำคัญ ได้แก่ การรวบรวมข้อมูล การวินิจฉัย การลงมือปฏิบัติ และการประเมิน เราอาจพูดได้ว่าการวินิจฉัยเป็นหนทางที่จะตรวจดูองค์การเพื่อระบุช่องว่าง (Gap) ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น

การวินิจฉัยองค์การสามารถทำได้ใน 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล (Individual Level) ระดับกลุ่ม (Group Level) และระดับองค์การ (Organization Level) ซึ่งการวินิจฉัยในแต่ละระดับจะใช้เครื่องมือที่มีความแตกต่างกัน และเครื่องมือที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เครื่องมือแต่ละเครื่องมือจะมีโมเดลความคิดพื้นฐานที่อาจเหมือนหรือแตกต่างกันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือแต่ละชนิด ซึ่งหากจะเปรียบไปแล้วเครื่องมือเหล่านี้ก็เหมือนเครื่องมือในการตรวจร่างกายคนไข้ของแพทย์ เช่น สเต็ทโตสโคป เครื่องวัดความดัน เครื่องมือตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หรือเครื่องเอ็กซเรย์ เป็นต้น ที่แพทย์แต่ละท่านจะหยิบมาใช้เพื่อตรวจวินิจฉัยหาโรคที่ผู้ป่วยเป็น

Organizational Diagnosis Questionnaire (ODQ)

องค์การโดยทั่วไปมักคุ้นชินกับการตรวจสุขภาพองค์การผ่านการสำรวจความพึงพอใจของพนักงานต่อด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหาร ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน งานทรัพยากรมนุษย์ฯ อีกการสำรวจหนึ่งที่องค์การส่วนหนึ่งทำกันอยู่เป็นประจำคือการสำรวจความผูกพันของพนักงานต่อองค์การ อย่างไรก็ดีผู้เขียนต้องการนำเสนอว่าอันที่จริงแล้วยังคงมีเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยให้องค์การพอจะรับรู้ว่าเกิดปัญหาอะไรบางอย่างขึ้นกับองค์การได้ ทั้งนี้ผู้เขียนเคยได้นำเสนอถึงเครื่องมือวินิจฉัยองค์การระดับองค์การที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Gareth Morgan มาแล้ว ส่วนในฉบับนี้ผู้เขียนขอหยิบยกเครื่องมือวินิจฉัยเก่ากว่าแต่ยังคงทรงคุณค่าและพลังในการวินิจฉัยหาความเจ็บป่วยขององค์การ อีกทั้งยังได้รับการอ้างอิงถึงในงานวิจัยและวิทยานิพนธ์จำนวนมากมาถึงปัจจุบัน เครื่องมือที่ผู้เขียนจะนำเสนอนี้พัฒนาขึ้นโดย Marvin R. Weisbord ในปี 1976 โดยวัตถุประสงค์ของ ODQ นี้ก็เป็นไปเพื่อให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อการวินิจฉัยในเชิงลึกต่อไป

เครื่องมือนี้มีลักษะเป็นแบบวัดมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) จำนวนเพียง 35 ข้อซึ่งง่ายต่อการนำไปใช้และประมวลผลสำหรับการตรวจดูสุขภาพขององค์การเบื้องต้น ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าเครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือที่มีความน่าสนใจที่องค์การต่างๆ อาจสามารถนำเอาไปวินิจฉัยองค์การเบื้องต้นว่าองค์การของคุณแข็งแรงดีหรือเปล่า

ตัวแบบความคิด

Weisbord ได้พัฒนากรอบแนวคิดซึ่งเป็นพื้นฐานของเครื่องมือนี้จาก ข้อมูล ทฤษฎี รวมถึงงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ และสรุปรวบยอดความคิดออกมาเป็นตัวแบบที่ใครๆ ก็สามารถเข้าใจและนำมาใช้ได้ โดยเขาเรียกตัวแบบนี้ว่า ตัวแบบกล่องหกใบ (Six-Box Model) ซึ่งการวินิจฉัยโดยใช้ตัวแบบความคิดนี้เป็นพื้นฐานสามารถให้มุมมองที่ครอบคลุมประเด็นระดับบุคคล กลุ่ม และองค์การได้ด้วย

Figure 1 A Six-Box Model

ตัวแบบความคิดนี้ของ Weisbord พยายามที่จะบอกเราว่าองค์ประกอบต่างๆ ในองค์การที่ร่วมกันขับเคลื่อนองค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆนั้น ประกอบด้วย

1. Purposes ซึ่งคือการบอกว่ากิจการขององค์การนั้นคืออะไร

2. Structure องค์การมีการจัดแบ่งหน่วยงานภายในอย่างไร

3. Relationships องค์การมีการจัดการกับความขัดแย้ง หรือ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ในองค์การอย่างไร

4. Rewards องค์การมีการเสริมแรงจูงใจให้พนักงานได้ปฏิบัติงานที่จำเป็นสำหรับองค์การหรือไม่

5. Helpful Mechanisms องค์การมีเทคโนโลยี[1]ที่เพียงพอในการเชื่อมประสานองค์การเอาไว้หรือไม่

6. Leadership มีใครสักคนในองค์การที่คอยดูแลให้กล่องแต่ละกล่องมีความสมดุลกันอยู่หรือไม่

หากเราพิจารณาปัจจัยทั้ง 6 ที่อยู่ในตัวแบบความคิดนี้โดยวิเคราะห์ประกอบกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความผูกพันของพนักงานต่อองค์การที่ทรงพลังอย่าง Two-factor Theory ของ Frederick Herzberg แล้ว เราจะพบว่าปัจจัยเหล่านี้จะจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็น Hygiene Factors ซึ่งเป็นปัจจัยที่หากได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอแล้วจะทำให้เกิดสภาวะที่เรียกได้ว่า “เฉยๆ” คือ ไม่ได้ไม่พึงพอใจ (Not Dissatisfy) แต่เมื่อใดก็ตามที่พนักงานไม่ได้รับการตอบสนองที่เพียงพอในปัจจัยเหล่านี้แล้วจะทำให้ “ไม่พึงพอใจ” (Dissatisfy) และเมื่อใดก็ตามที่พนักงานไม่พึงพอใจ ผลที่ตามมาอาจออกมาในรูปของการปฏิบัติงานไปวันๆ ไม่ทำงาน หรือแม้กระทั่งลาออกได้เช่นกัน

ตรวจระบบอะไรในร่างกายขององค์การบ้าง?

แม้ว่าเราจะกล่าวไปแล้วข้างต้นว่าตัวแบบความคิดของ Weisbord นั้นพูดถึงปัจจัยทั้งสิ้น 6 ปัจจัยที่จะบอกถึงสุขภาพขององค์การ นั่นคือ วัตถุประสงค์ โครงสร้าง ความสัมพันธ์ การให้รางวัล เทคโนโลยี และภาวะผู้นำ แต่เครื่องมือนี้สามารถจะตรวจโรคขององค์การและบอกได้ว่าองค์การมีความเจ็บป่วยหรือไม่ใน 7 มิติด้วยกัน โดยมิติที่เพิ่มขึ้นมานั้นคือเรื่องของทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะมีผลอย่างสำคัญต่อความสามารถขององค์การในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์การ

การออกแบบตัวเครื่องมือที่ดีโดยเฉพาะในส่วนข้อมูลประชากรที่ลงไปทำการวินิจฉัย จะทำให้องค์การสามารถระบุปัญหาขององค์การได้อย่างมีมิติ และจะส่งผลดีต่อไปในด้านการวางมาตรการในการแก้ไขและจัดการกับปัญหาได้เป็นอย่างดี

เครื่องมือนี้มีหน้าตาอย่างไร?

ODQ นี้มีลักษณะเหมือนชื่อของมัน คือเป็น Questionnaire ซึ่งเป็นแบบที่เราเรียกกันว่าแบบวัดมาตราส่วนประเมินค่า หรือที่ท่านทั้งหลายอาจคุ้นชินกันมากกว่าในชื่อของ Rating Scale โดย ODQ นี้จะมีการแบ่งส่วนค่าคะแนนออกเป็น 7 ระดับ คือ ตั้งแต่ 1 ถึง 7 โดย 1 หมายถึง เห็นด้วยอย่างยิ่ง และ 7 หมายถึง ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อความที่เป็นข้อคำถาม ข้อคำถามทั้งหมดมี 35 ข้อ แต่ละข้อจะเป็นตัวแทนของมุมมองหรือมิติต่างๆ ใน 7 มิติที่ได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น

ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของเครื่องมือที่ผู้เขียนได้ใช้ ODQ ของ Weisbord เพื่อทดลองใช้ตรวจวินิจฉัยองค์การของผู้เขียนเอง และพบว่าค่อนข้างมีความแม่นตรงและได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจมากทีเดียว

Figure 2 ตัวอย่างเครื่องมือที่ประยุกต์จาก ODQ

ผลการวินิจฉัยมีลักษณะอย่างไร?

ผลที่ได้จากการวินิจฉัยจะเป็นการนำค่าคะแนนเฉลี่ยรายข้อในแบบสอบถามที่ได้เก็บข้อมูลจากพนักงานเป้าหมาย ดังนั้นค่าคะแนนที่ได้จะอยู่ระหว่าง 1 ถึง 7 โดยองค์การที่สุขภาพดีนั้นควรมีค่าคะแนนที่รับได้อยู่ระหว่าง 1 ถึง 4 ค่าคะแนนที่มากกว่า 4 จะบ่งชี้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในมิติหนึ่งๆ ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปอย่างเร็ว ๆ ได้ว่ายิ่งองค์การมีค่าคะแนนอยู่ใกล้ 1 มากแสดงว่าองค์การมีสุขภาพดีมาก ในทางตรงกันข้ามยิ่งองค์การมีค่าคะแนนใกล้ 7 มากก็เท่ากับว่าองค์การนั้นมีปัญหามาก และยิ่งต้องเร่งหาทางแก้ไขต่อไป

Figure 3 ตัวอย่างการแสดงผลการวินิจฉัย

ความน่าสนใจของผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือนี้คือ แม้ผลที่ได้จะเป็นการบ่งชี้ถึงปัญหาในภาพกว้างขององค์การในมิติต่าง ๆ 7 มิติ แต่หากผู้วิเคราะห์ผลมีความชำนาญและเชี่ยวชาญก็จะสามารถเพิ่มระดับการวิเคราะห์ให้ลึกลงไปจนถึงการวิเคราะห์รายข้อคำถามได้ เนื่องจากแต่ละข้อคำถามสามารถบ่งชี้ถึงมิติย่อย ๆ ของมิติใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาว่าในมิติด้านความสัมพันธ์นั้นจะมีค่าคะแนนที่จัดได้ว่าไม่เป็นปัญหาอะไรและอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่หากลงวิเคราะห์รายข้อคำถามอาจจะพบว่ามีประเด็นที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งภายในองค์การก็เป็นได้

นอกจากนี้การวิเคราะห์ผลรายข้อคำถามจะสร้างมุมมองเกี่ยวกับมิติที่เป็นทางการกับมิติที่ไม่เป็นทางการของปัจจัยที่ทำการวินิจฉัยว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ซึ่งความไม่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันระหว่างมิติทั้งสองอาจนำมาซึ่งปัญหากับองค์การ ซึ่งองค์การต้องดำเนินการแก้ไขต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามต่อไป

การนำผลการวินิจฉัยไปดำเนินการต่อ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าการวินิจฉัยด้วยเครื่องมือนี้เป็นเพียงข้อมูลการวินิจฉัยเบื้องต้น ซึ่งเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับการตรวจร่างกายทั่วไป แค่ให้พอทราบว่าร่างกายของเราน่าจะมีอะไรผิดปกติที่ตรงไหนหรือไม่ หากว่าพบว่ามีบางจุดน่าจะมีปัญหาสิ่งที่ควรดำเนินการต่อไปคือการลงวินิจฉัยอย่างจริงจังเฉพาะจุดลงไป ซึ่งอาจใช้แบบสำรวจเฉพาะเรื่อง หรืออาจใช้การสัมภาษณ์แบบกลุ่ม หรือสัมภาษณ์รายบุคคลก็ได้ ทั้งนี้เพื่อค้นหาปัญหาที่แท้จริงว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เพื่อที่องค์การจะได้หาแนวทางในการแก้ไขหรือป้องกันปัญหาได้อย่างถูกต้องมากที่สุด

บทสรุป

การวินิจฉัยองค์การเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและอาจกระทำได้ผ่านกระบวนการหรือวิธีการที่หลากหลาย ODQ เป็นอีกแนวทางหนึ่งซึ่งสามารถช่วยให้องค์การได้ตรวจดูสุขภาพโดยรวมได้อย่างรอบด้าน และช่วยจำกัดขอบเขตของการค้นหาปัญหาขององค์การได้เป็นอย่างดี อีกทั้งด้วยการที่เครื่องมือนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการใช้ ดังนั้นจึงทำให้การนำไปใช้ในองค์การที่เพิ่งเริ่มต้นที่จะตรวจสุขภาพองค์การเป็นไปได้ไม่ยากจนเกินไป นอกจากนี้ ODQ สามารถแปลผลได้ด้วยแอพพลิเคชั่นพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานกันในองค์การส่วนมากได้ นั่นคือใช้โปรแกรม Spreadsheet ในการคำนวณผลและแสดงผลการวิเคราะห์ออกมา

นอกจากนี้สำหรับองค์การหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญแล้วก็อาจเพิ่มความซับซ้อนของเครื่องมือ โดยนอกจากจะอาศัยการวิเคราะห์ในเชิงลึกแล้ว อาจกระทำผ่านการออกแบบข้อคำถามให้มีความซับซ้อน หรือมีความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ที่องค์การคาดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันก็ได้ และยังอาจใช้การวินิจฉัยเชิงลึกด้วยเครื่องมืออื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมและตรงจุดกับปัญหาที่ตรวจพบด้วย ODQ ได้อีกเช่นกัน

สุดท้ายผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องมือที่ได้นำเสนอนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับท่านสมาชิกและผู้ที่ติดตามวารสารของทางสมาคมฯ ไม่มากก็น้อยในการนำเครื่องมือนี้ไปใช้เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับงานทรัพยากรมนุษย์และองค์การ

Tag:
No items found.
Share this post:
KHON

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024