>
องค์กรกำลังเป็นพิษกับคน Gen Z อยู่หรือเปล่า?
June 8, 2022

องค์กรกำลังเป็นพิษกับคน Gen Z อยู่หรือเปล่า?

กลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z อาจไม่ได้ขี้เกียจหรือเกี่ยงงานอย่างที่ใครหลายคนกำลังคิดและ Stereotype จากการเก็บข้อมูลในหลายสำนักวิจัยพบว่า พนักงานกลุ่มนี้เพียงแค่ไม่อยากเป็นเหมือนรุ่นพ่อแม่ที่ถวายชีวิตให้กับงานจนไม่มีเวลาให้ลูก และคนกลุ่มนี้ยังเติบโตมาในยุคที่ใบปริญญาไม่ได้การันตีความมั่นคงของงาน แถมยังมีความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกด้วย

ปรากฎการณ์ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ทนกับงานไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มแรงงานเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการทำงานล่วงเวลาในกลุ่มคนอายุ 20 กว่าและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในองค์กร ทั้งองค์กรระดับโลกอย่างStarbucks, Amazon, Home Depot ไปจนองค์กรขนาดเล็ก

พนักงานที่เกิดในปี 1997 ถึง 2012 ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป คนกลุ่มนี้ทำงานมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีในองค์กรให้ความสำคัญกับความยุติธรรม (Fairness) มากกว่าสิ่งอื่นใดจะไม่ยอมทนกับมาตรฐานและพฤติกรรมที่บิดเบี้ยวในองค์กร

ใช้โซเชียลมีเดียแก้ไขรูปแบบความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวระหว่างหัวหน้า-ลูกน้อง

คน Gen Z เลือกที่จะ “ปฏิเสธ” สิ่งที่ไม่เห็นด้วยซึ่งความคิดนี้แตกต่างจากคนรุ่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานนอกเวลางานหัวหน้าที่ไม่น่าเคารพ และงานที่ไม่มีขอบเขตตามที่ตกลงกันไว้

ด้วยความคิดนี้เอง Gen Zพร้อมเผชิญหน้ากับหัวหน้างานโดยไม่เกรงกลัวเหมือนคนเจเนอเรชั่นก่อน ๆแต่พบว่ามีพนักงานเพียง 8% เท่านั้นที่รายงานความ Toxic ในองค์กร อาทิการบูลลี่ในที่ทำงาน การล่วงละเมิศทางเพศหรือการเหยียดเชื้อชาติผ่านช่องทางที่องค์กรจัดไว้ให้ เพราะไม่ศรัทธาในช่องทางดังกล่าวและมองว่าอาจสร้างปัญหาในอนาคตเพิ่มอีก

Gen Z จึงเลือกใช้วิธีการที่พวกเขาถนัดที่สุดนั่นคือกรเติบโตมาท่ามกลางโลกดิจิทัลด้วยการต่อสู้ผ่านโซเชียลมีเดียและช่องทางต่าง ๆ บนโลกออนไลน์อีกด้วยไม่ใช่เฉพาะในออฟฟิศหรือการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวกับหัวหน้างานเท่านั้นเเหมือนกับรุ่นพี่ที่เคยทำมาในอดีตตัวอย่างเช่นการติดแฮชแท็ก #MeToo เพื่อสื่อถึงการถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน(Sexual Harrassment) ผ่านทาง Twitterหรือการให้ความรู้เรื่องสิทธิของพนักงานไปทั่วโลกภายในไม่กี่วินาทีผ่านแพลตฟอร์มTiktok อย่างสร้างสรรค์อีกด้วย

ส่วนประกอบของความ Toxic ในองค์กรมีอะไรบ้าง?

 

TheToxic Five เป็นตัวอย่างของสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษในการทำงานจากมุมมองของพนักงานโดยเฉพาะเฉพาะพนักงานคนอายุน้อย ได้แก่ 1) การไม่ให้เกียรติ (Disrespectful)การแบ่งแยก (Noninclusive) การผิดจรรยาบรรณ (Unethical) การห้ำหั่นหักหลัง(Cutthroat) และการล่วงละเมิด (Abusive)

กราฟThe Toxic Five จาก MIT Slone Management Review

สถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายองค์กรเผชิญ และล้วนไม่มีใครชอบ แม้แต่กลุ่มBabyboomer, Gen X, หรือ Gen Y ก็ตามแต่ในสมัยหนึ่งพนักงานรุ่นเดิมกลับมองว่าตนเองไม่มีทางเลือกได้แต่เลือกที่จะทนหรือร้องเรียนอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น ในมุมกลับกันหากใครทนได้ไม่เหลาะแหละลาออกหนีปัญหา ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นคนอึด แกร่งเก่งในสายตาของหัวหน้างานและครอบครัวอีกด้วยจนกลายเป็นวัฒนธรรมรวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมก็ส่งผลต่อการคิดและตัดสินใจของคนในแต่ละเจเนอเรชั่นที่แตกต่างกัน

สิ่งเหล่านี้เป็นพิษกับอะไรบ้าง?

การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษนี้นำไปสู่ความเครียดของพนักงาน อาการ burnout ปัญหาสุขภาพจิตและยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทางกายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หอบหืดเบาหวาน และโรคข้ออักเสบที่สูงขึ้นจาก 35% เป็น 55% อีกด้วยซึ่งเป็นบ่อเกิดของปรากฎการณ์ The Great Resignation

ผู้นำเป็นจุดเริ่มต้นอันดับหนึ่งของความเป็นพิษในองค์กร

จากการศึกษาข้อมูลหลายพบความสัมพันธ์สัมพันธ์(correlation) ระหว่างปัจจัยเหล่านี้และวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกมองว่าเป็นพิษซึ่งผู้นำ (Leadership) เป็นปัจจัยที่ส่งผลเป็นอันดับหนึ่ง

ผู้นำในระดับสูงส่งต่อวัฒนธรรมการทำงานในสไตล์ของตัวเองไปยังหัวหน้างานลำดับถัดไปที่จ้างเข้ามาและสอนงานต่อแต่ถึงแม้ผู้นำสูงสุดจะเป็นแบบอย่างที่ดีผู้นำระดับต้นและหัวหน้างานก็สามารถสร้างวัฒนธรรมในระดับทีมย่อยที่แตกต่างกันได้ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายขององค์กรเดียวกันกำกับอยู่ก็ตาม

กราฟ Toxic Culture Driver จาก MIT Slone Management Review

แค่ไหนจึงเรียกว่า ToxicCulture

ถึงแม้ว่าความรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นเรื่องส่วนบุคคลมีความแตกต่างกันตามตัวบุคคล แต่เมื่อใดก็ตามที่พนักงาน 1 คนจากทุก 4คนเริ่มรู้สึกถึงความ Toxic ในองค์กร เมื่อนั้นแปลเป็นนัยได้ว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้น ๆ กำลังมีป้ญหา

 

การแก้ปัญหา Toxic Cultureเป็นของทุกคน แต่ต้องเริ่มโดยผู้นำ

ผู้นำหลายองค์กรเลือกที่จะนำการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปผูกกับตัวเลขทางธุรกิจเช่น ค่าใช้จ่ายจากการลาออก หรือ ค่ารักษาพยาบาลพนักงานทั้งที่จริงแล้วต่อให้ไม่มีเรื่องตัวเลขเหล่านี้ ปัญหา Toxic Cultureเป็นเรื่องของคนทุกเจเนอเรชั่นในองค์กรที่ต้องจัดการและไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำองค์กร หัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคลผู้มีสิทธิและอำนาจที่ถูกต้องจึงควรตรวจสอบความจริงโดยไม่มี Biasไม่ยึดติดกับความเคยชินที่อยู่ร่วมกันมาแบบนี้ตั้งแต่อดีตและลงมือนำการแก้ไขปัญหาตัดวงจรแต่เนิ่น ๆ ไม่ปล่อยให้ลุกลามจน Gen Zต้องลุกขึ้นมาแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือแห่ลาออกจนเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตให้กับธุรกิจกำลังจะต้องเติบโตต่อและต้องพึ่งพาคนรุ่นใหม่ที่จะไปกับอนาคตขององค์กร

 

อ้างอิง

https://www.forbes.com/sites/markcperna/2022/06/01/toxic-work-culture-is-the-1-factor-driving-people-to-resign/?sh=238909ca68f1

https://fortune.com/2023/01/31/america-has-a-toxic-workplace-problem/

https://sloanreview.mit.edu/article/why-every-leader-needs-to-worry-about-toxic-culture/

https://sloanreview.mit.edu/article/how-to-fix-a-toxic-culture/

https://www.businessinsider.com/how-gen-z-is-changing-work-most-pro-labor-generation-2022-11 

Tag:
No items found.
Share this post:
วสุธร หาญนภาชีวิน

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024