>
รักษา Quality Performance ท่ามกลางสมรภูมิ Quiet Quitting
July 6, 2023

รักษา Quality Performance ท่ามกลางสมรภูมิ Quiet Quitting

ในช่วงนี้หลายๆคนคงจะเคยได้ยินเรื่องของ Quiet Quitting ซึ่งเริ่มมาจากไวรัลใน tiktok ของ tiktoker ชาวอเมริกันชื่อว่า @zaidlepplin ได้โพสวีดีโอจนโด่งดังในประเด็นที่ว่า work is not your life หรือ งานไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต รวมไปถึงเทรนด์ในจีนที่เรียกว่า lying flat ที่เป็นการเลือกใช้ชีวิต Slowlife ไม่เร่งรีบ เหมือนเป็นการโต้กลับวิธีการทำงานที่ยอดนิยมในจีนช่วงก่อนหน้านี้ที่เน้นการทำแบบ 996 หรือตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์ ซึ่ง Quiet Quitting หรือการลาออกจากงานที่กำลังทำอยู่อย่างเงียบๆ เป็นการลาออกทางจิตใจ แต่สภาพกายภาพยังคงทำงานอยู่ กล่าวคือเป็นการทำงานเท่าที่จำเป็นต้องทำ แต่ไม่ทุ่มเทให้เต็มความสามารถ ซึ่งแนวคิดการทำงานนี้ สืบเนื่องมาจากแนวคิดของคนยุคปัจจุบันบางกลุ่มที่มองว่าการทำงานแบบไม่เต็มประสิทธิภาพนั้น จะช่วยเยียวยาและรักษาจิตใจของตนเองได้ เพราะมีพื้นที่มีเวลาให้สามารถให้เวลา และให้ความสำคัญกับตนเองมากขึ้น ซึ่งปรากฎการณ์นี้ก็มีการถกเถียงกันว่า เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเพียงอุปทานหมู่ที่เกิดขึ้นใน Social Media เท่านั้น

ซึ่ง Gallup ที่เป็นสถาบันที่เชี่ยวชาญในด้าน employee engagement ได้ทำการสำรวจพนักงานชาวอเมริกันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นจำนวน 15,091 คน ผลสำรวจพบว่าความผูกพันกับองค์กรของพนักงานกลุ่มนี้ลดต่ำลง โดยเหลือเพียงแค่ 32% ที่ยังมีความผูกพันกับองค์กร และมีจำนวนผู้ที่รู้สึกไม่ผูกพันกับองค์กรเลยเพิมขึ้นเป็น 18% ในปี 2022 โดยถ้าเทียบอัตราส่วนของผู้ผูกพันและไม่ผูกพันกับองค์กรจะอยู่ที่อัตราส่วน 1.8 ต่อ 1 ซึ่งเรียกได้ว่าน้อยที่สุดในทศวรรษนี้เลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากผลสำรวจนี้เราจะพบว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดแรงงานอย่าง The Great Reshuffle ที่มีคนลาออกเปลี่ยนงานที่ทำเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงเรื่องของ The Quiet Quit ที่พูดถึงในช่วงต้นของบทความนี้

หากหันกลับมาดูสถานการณ์องค์กรในปัจจุบัน เราก็จะพบว่าองค์กรในยุคปัจจุบันก็ประสบปัญหารุมเร้าจากความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์โลกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะถดถอยลง ปัญหาด้าน Supply chain ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างวัย ตลอดจนสงครามการแย่งคนเก่งที่ยังคงทวีความรุนแรงอยู่ในปัจจุบันและไม่มีแนวโน้มที่จะลดน้อยลงเลย ยิ่งไปกว่านั้น บางองค์กรอาจจะต้องทำการลดกำลังพล หรือปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อให้การบริการจัดการขององค์กรมีความคล่องตัว และลดค่าใช้จ่ายขององค์กรลงไปให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เราจะเห็นได้จากการทยอยแช่แข็ง กำลังพลจากองค์กรชื่อดังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรในสายเทคโนโลยี หรือองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่หลายๆแห่ง หรือแม้กระทั่งการปลดพนักงานในส่วนที่ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ดั่งใจหวัง ยกตัวอย่างเช่นการปลดพนักงานสายฟ้าแลบของ Shopee เพื่อเป็นการปรับองค์กรให้สามารถไปต่อได้ ซึ่งสถานการณ์ที่กล่าวมานี้ ยิ่งจะบีบให้องค์กรทุกองค์กรต้องพยายามรีดพลัง และใช้ทรัพยากรที่มีของตนเองให้ได้ประโยชน์สูงสุด และเป็นช่วงเวลาที่องค์กรจะต้องการ Quality Performance จากพนักงานมากยิ่งกว่าเวลาใด ๆ

ซึ่งสิ่งนี้ก่อให้เกิดความท้าทายขององค์กร ผู้บริหารและหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมากที่จะสามารถ Balance และยังคงรักษา Quality Performance จากพนักงาน ท่ามกลาง Quiet Quitting ที่กำลังเป็นประเด็น ณ ปัจจุบัน ซึ่งบทความนี้ขอเสนอ 3 วิธีการที่จะสามารถดึงศักยภาพของพนักงานออกมาได้ โดยไม่ให้เกิดอาการ Quiet Quitting

1. สร้างความตระหนักให้แก่หัวหน้างานและผู้จัดการว่าผลงานของทีมงานในรายบุคคลเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาโดยตรง – อันดับแรกที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้จะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจกับหัวหน้างานและผู้จัดการสายตรงที่ทำงานกับพนักงานว่าพวกเขาคือคนที่จะต้องรับผิดชอบกับการดูแล รวมไปถึงผลงานที่น้อง ๆ ได้แสดงออกมา ไม่ว่าผลงานนั้นจะเป็นในทิศทางที่ดีหรือไม่ดี ล้วนแล้วแต่เป็นผลกระทบที่มาจากวิธีการดูแลพนักงานในทีมของหัวหน้าทีมแต่ละท่านทั้งสิ้น ฉะนั้นหัวหน้างานจะต้องสละแบ่งเวลาที่แม้จะมีน้อยนิด ออกมาพัฒนา ออกมาดูแลทีมงานของตนเอง ไมให้น้องในทีมต้องรู้สึกโดดเดี่ยว หรือต้องเผชิญหน้าด้วยตนเองแต่เพียงอย่างเดียว และอีกประการหนึ่งหากหัวหน้างานมีความตระหนักในเรื่องดังกล่าว จะส่งผลให้หัวหน้างานพยายามเงี่ยหู “ฟัง” ทีมงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดการฟัง ก็จะเกิดการได้ยิน สร้างบรรยากาศในทีมที่ดีขึ้น รวมไปถึงเป็นพื้นฐานสำคัญให้เกิดความสำเร็จของวิธีในข้อที่สองและสามต่อไป

2. ประสานเป้าหมายการทำงานของพนักงาน และเป้าหมายการทำงานของตำแหน่งงานให้มีความเชื่อมโยงกัน – สิ่งสำคัญที่จะสามารถจูงใจพนักงานให้ร่วมหัวจมท้ายไปกับการทำงานที่แสนจะเหนื่อยในปัจจุบันคือการที่ต้องชี้ให้พนักงานได้เห็นถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากการทำงานนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น งานชิ้นนี้จะช่วยพัฒนาอะไรในตัวเขาได้บ้าง งานชิ้นนี้จะสร้างทักษะอะไรของเขาให้เก่งขึ้น งานชิ้นนี้จะสร้างประสบการณ์อะไรที่แตกต่างกับสิ่งที่เขาเคยได้พบเจอ หรือแม้กระทั่งงานชิ้นนี้จะทำให้เขาได้รับโอกาสในการถูกชื่นชม หรือสร้างความยอมรับจากใครบ้าง

ซึ่งการชี้ให้เห็นประโยชน์ที่ว่านี้จะสามารถสร้าง Sense of Purpose ให้กับพนักงานแต่ละคน ที่จะเขาจะสามารถเห็นได้ว่างานที่เขาทำนั้นจะนำตัวเขาเองไปสู่การเติบโตแบบไหน หรือผลตอบแทนอย่างไร และ Purpose นี้จะเป็นไฟในการทำงานของพนักงานที่จะลุกโชนพร้อมรับการทำงานใหม่ๆที่ท้าทาย และในขณะเดียวกัน Purpose นี้ก็จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้แก่พนักงานในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือจำเป็นต้องให้พนักงานต้องทุ่มเทได้เต็ม 100% ที่เขามี นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมโยงตัวเขาและหัวหน้างานว่าเป็นทีมเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายที่ไปในทิศทางเดียวกัน อันจะนำไปสู่การทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้นอีกด้วย

3. มีการสนทนา และให้ Feedback กับทีมงานอย่างสม่ำเสมอ – การที่หัวหน้างานไม่ได้พูดคุยกับทีมงานของตนเองจะสร้างระยะห่างให้หัวหน้างานและทีมงาน ซึ่งจะสร้างช่องว่างระหว่างในความผูกพันของทีมงาน และมีโอกาสขยายไปเป็นการ burn out ของทีมงาน และลงท้ายด้วยการลาออก หรือการทำ Quiet Quitting ของทีมงานต่อไปในอนาคตได้ ฉะนั้นเนื่องจากหัวหน้างานเป็นผู้ที่รู้จัก เข้าใจและใช้เวลาร่วมกันกับพนักงานของตนเองมากที่สุด ฉะนั้นหัวหน้างานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เวลาในการดูแลลูกทีมโดยการสร้างบทสนทนา และมีการให้ Feedback ในผลงานของทีมงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งระยะเวลาที่แนะนำสำหรับการ Feedback และการสนทนา อยู่ที่ประมาณ 15 นาที ต่อคน ต่อสัปดาห์ โดยโฟกัสเป็นการพูดคุยแบบ 1-1 ระหว่างหัวหน้างาน และลูกทีมแต่ละคน เพื่อที่จะสร้างความเฉพาะเจาะจน และ Sense of Caring ให้กับทีมงานด้วย

โดยการพูดคุยนั้นนอกจากจะพูดคุยในแง่ของผลงาน และงานที่พนักงานทำ หัวหน้างานยังควรพูดคุยถึงสารทุกข์สุขดิบอื่น ๆ ด้วย เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจพนักงานแต่ละคนให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หัวหน้างานสามารถค้นพบสัญญาณอันตรายของพนักงานแต่ละคนได้รวดเร็วขึ้น และแน่นอนว่าการค้นพบสัญญาณที่รวดเร็ว จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว และจะนำไปสู่การดูแลพนักงานแต่ละคนได้ดีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าการลาออกครั้งใหญ่ การย้ายงานครั้งใหญ่ หรือการ Quiet Quitting จะเป็นความท้าทายที่องค์กรและ HR ต้องเผชิญก็ตาม การที่โลกมีโอกาสที่จะเผชิญสภาวะไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการลงทุน ก็อาจจะเป็นปัจจัยที่จะสามารถมาช่วยให้พนักงานมีความรู้สึกต้องรักษาเก้าอี้ของตัวเองเอาไว้อยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ปัญหานี้ไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้ แต่หากเราปล่อยให้กลุ่มพนักงานที่เป็น Talent ของเราตกในสถานการณ์การลาออก การย้ายงาน หรือ Quiet Quitting ไปโดยที่เราไม่ทันแก้ไขหรือป้องกันเสียก่อน ก็คงจะเป็นความน่าเสียดายที่จะไม่สามารถรักษา Quality Performance ได้ และพ่ายแพ้ในสมรภูมิ Quiet Quitting และอาจรวมไปถึงพ่ายแพ้ในการดำเนินธุรกิจขององค์กรก็เป็นได้

Reference

https://news.sky.com/story/the-growing-trend-of-quiet-quitting-and-whether-you-should-worry-about-being-quiet-fired-12735833

https://www.gallup.com/workplace/398306/quiet-quitting-real.aspx

https://techsauce.co/news/shopee-thailand-layoff-lean-structure-september-2022

https://www.mckinsey.com/capabilities/people-and-organizational-performance/our-insights/quiet-quitting-and-performance-management

https://hbr.org/2022/09/when-quiet-quitting-is-worse-than-the-real-thing

Tag:
No items found.
Share this post:
วัฒนศักดิ์ วิบูลย์ชัยกุล

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024