นักเขียนอเมริกัน ไมเคิล ฮอเบน (Michael Hauben) เรียกกลุ่มผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘พลเมืองเครือข่าย’ หรือ ‘Netizen’ ซึ่งเกิดจากการรวมคำในภาษาอังกฤษ 2 คำ คือ Internet และ Citizen ในบางประเทศจะมีชื่อเฉพาะ เช่น เกาหลีใต้จะเรียก K-netizen หรือ Knetz เมื่อใดก็ตาม ‘Netizen’ มีสิ่งที่สนใจร่วมกันในประเด็นใด ก็จะติดเครื่องหมาย Hashtag (#) เพื่อเชื่อมโยงกลายเป็นเครือข่ายบนโลกออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น กรณี Weinstein Effect ที่มีการติดแฮชแท็ก ‘#MeToo’ ในการส่งต่อข้อความถึง 12 ล้านครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของนักสร้างภาพยนต์ระดับตำนาน ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) ที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศดาราหญิงมายาวนาน แฮชแท็ก #MeToo กลายเป็นปรากฏการณ์ไวรัล จนนิตยสาร TIME ถึงกับจัดให้เป็นบุคคลแห่งปี 2017
ในอดีต สังคมแบ่งชนชั้นตาม "ฐานันดรศักดิ์" (The Estate) ออกเป็น 4 ประเภท ฐานันดรที่ 1 สำหรับกษัตริย์ และขุนนาง ฐานันดรที่ 2 คือกลุ่มนักบวชหรือผู้นำทางศาสนา ฐานันดรที่ 3 เป็นสามัญชนทั่วไป และฐานันดรที่ 4 ใช้กับสื่อสารมวลชนซึ่งทำหน้าที่กระจกเงาสะท้อนปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลได้เปิดพรมแดนการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา ‘พลเมืองเครือข่าย’ จากสามัญชนบางส่วนได้กลายเป็น ‘นักข่าวพลเมือง’ อาศัยช่องทางที่เปิดกว้างรายงานและแสดงความคิดเห็นของตนเองในที่สาธารณะ กลายเป็นกลุ่มชนชั้นใหม่เรียกว่า ‘ฐานันดรที่ 3.5’ ซึ่งบางครั้งได้รับความนิยมมากกว่าสื่อสารมวลชนเนื่องจากสามารถให้ข้อเท็จจริงทั้งเนื้อหาและภาพอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมุมมองที่หลากหลาย อีกทั้งยังให้ผู้ติดตามเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ หลายคนจึงชอบอ่านข้อเขียนของ Blogger โดย ‘พลเมืองเครือข่าย’ มากกว่ารอรายงานข่าวจากสื่อมวลชนทั่วไป
ข้อได้เปรียบอีกประการของ ‘พลเมืองเครือข่าย’ คือ การใช้งานในระบบออนไลน์จะอยู่บนหลักพื้นฐานของ ‘ความเสมอภาคทางเน็ต (Net Neutrality)’ ผู้ให้บริการเช่น แอมะซอน กูเกิล ยูทูป ส่งข้อมูลไปตามเส้นทางที่ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็นเจ้าของ ‘ความเสมอภาคทางเน็ต’ กำหนดให้เจ้าของอินเทอร์เน็ตต้องให้บริการอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของกูเกิล หรือจากบริษัทขนาดเล็ก ต่างก็สัญจรไปบนเส้นทางเดียวกัน ด้วยความเร็วเท่ากัน ผู้ให้บริการไม่สามารถเลือกว่าจะให้บริการเป็นพิเศษแก่ใครได้ ‘ความเสมอภาคทางเน็ต’ ทำให้เกิดการแข่งขันสร้างนวัตกรรม ช่วยให้กิจกรรมบนโลกออนไลน์ของ ‘พลเมืองเครือข่าย’ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจาก ‘ความเสมอภาคทางเน็ต’ ‘กลุ่มความร่วมมือด้านสิทธิและหลักการอินเทอร์เน็ต (Internet Rights and Principles Dynamic Coalition)’ หรือ IRPC จากภาครัฐ ธุรกิจและประชาชนในหลายประเทศ ได้ร่วมกันประกาศหลักการอินเทอร์เน็ตและสิทธิพื้นฐานของ ‘พลเมืองเครือข่าย’ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554 ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา จัดการ และดูแลอินเทอร์เน็ต โดยประยุกต์จากหลักการสิทธิมนุษยชนสากล โดยครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเข้าถึงและใช้อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัย สิทธิในการค้นหา ได้รับ และแจ้งข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี สิทธิในการคบค้าสมาคมกันบนอินเทอร์เน็ต สิทธิในการแสดงความเป็นส่วนตัว สิทธิในการเข้ารหัส และสิทธิที่จะไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้รวมถึงต้องปราศจากการถูกสอดส่องตรวจตรา และได้รับการคุ้มครองข้อมูล นอกจากนี้ ความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมบนอินเทอร์เน็ต จะต้องได้รับการส่งเสริม เพื่ออำนวยความเป็นพหุลักษณ์ในการแสดงออก ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และเป็นอิสระจากการถูกจัดลำดับ กรอง และควบคุมการจราจรอย่างแบ่งแยก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการค้า การเมือง หรือเหตุผลอื่นใด
สำหรับประเทศไทยได้มีการก่อตั้ง ‘เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network)’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เพื่อสนับสนุนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในเรื่องสิทธิการเข้าถึงข้อมูล สิทธิในการคิดและแสดงออก สิทธิความเป็นส่วนตัว สิทธิในการร่วมออกแบบนโยบาย และสิทธิในการเป็นเจ้าของและใช้ทรัพยากร เครือข่ายดังกล่าวมีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ติดตามประเด็นเทคโนโลยีและการสื่อสารที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน วิจัยเชิงนโยบายและรณรงค์ขับเคลื่อนบนฐานงานวิจัย พัฒนาทักษะผู้ใช้เน็ตและสื่อพลเมือง รวมทั้งเปิดพื้นที่ความคิดเห็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ นโยบายสื่อ และวัฒนธรรมดิจิทัล
อ้างอิง
ฐานเศรษฐกิจ. “พลเมืองเครือข่าย (Netizen)”, CEO Focus, The Disrupt, หน้า 22, 18 พฤษภาคม 2562
HR Society Magazine. “พลเมืองเครือข่าย (Netizen)”. ธรรมนิติ. Vol. 17, No 198, หน้า 30-34, มิถุนายน 2562