>
กฏหมายออกใหม่: พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานว่าด้วยการทำงานแบบ Work From Home
March 28, 2023

กฏหมายออกใหม่: พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานว่าด้วยการทำงานแบบ Work From Home

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2566 ได้มีการประกาศในราชกิจกิจจานุเบกษาว่าด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน นั่นคือ “พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๖” มีผลวันที่ 17 เมษายน 2566 ซึ่งกฎหมายแรงงานที่เพิ่งประกาศมาใหม่นี้มีความเกี่ยวข้องกับทุกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่ได้มีการปรับใช้การทำงานแบบ Hybrid Work หรือ Work From Home เพื่อช่วยขยายความและทำความเข้าใจกับเนื้อหาสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ผมขอเรียกว่าเป็นกฎหมายแรงงาน WFH ซึ่งสาระสำคัญมี ดังนี้

ทำไมจึงต้องออกกฎหมาย

เหตุและผลของการออกกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกเขียนไว้ว่า “เพื่อยกระดับการคุ้มครองลูกจ้างให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันจะทำให้ลูกจ้างซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีความมั่นคงในการทำงานและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นทางเลือกสำหรับนายจ้างและลูกจ้างในการจ้างแรงงาน”

สิ่งที่ผมมองเห็นจากข้อความนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างยิ่งของมุมมองทางฝั่งฟากรัฐ เพราะได้ยอมรับเรื่องการ WFH ว่า

1. การทำงาน WFH เป็นเรื่อง New Normal หรือความเป็นปกติใหม่ที่เป็นที่ยอมรับแล้ว

2. รัฐเชื่อว่า การทำงานแบบ WFH ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ จากที่มีข้าราชการระดับสูงหลายท่านกังขากับการทำงานรูปแบบนี้

3. รัฐเชื่อว่า จะช่วยให้เกิดคุณภาพชีวิตดีขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาวิจัยของฝั่งเอกชนที่ผลการศึกษาบ่งชี้ไปทางนั้น

4. รัฐเปิดทางเลือกให้อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเปลี่ยน Mindset การกำหนดวัน เวลา สถานที่ปฏิบัติงานดังที่ได้กำหนดเอาไว้ตามแนวคิดเดิมไปอย่างมาก

การปรับใช้ที่ถูกต้องให้ทำอย่างไร

กฎหมายได้เขียนไว้ชัดเจนในการปรับใช้การทำงานแบบ WFH คือ

1. นายจ้างต้องจัดทำเป็นแนวนโยบายหรือแนวปฏิบัติเอาไว้อย่างชัดเจนโดย “ให้นายจ้างจัดทำเป็นหนังสือหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึง และนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง” นั่นคือ ต้องเขียนไว้ ประกาศไว้ เก็บไว้ในที่สามารถเข้าไปดู เข้าไปทำความเข้าใจได้ง่าย เนื้อหาที่เป็นหนังสือหรืออิเล็กทรอนิคส์จะต้องเป็นความหมายเดียวกัน

2. รายละเอียดอย่างน้อย จะต้องระบุไว้ในหนังสือ 5 ข้อดังนี้ คือ

(1) ช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการตกล

หมายถึง ระยะเวลาที่กำหนดให้สามารถทำงานแบบ WFH ว่าจะบังคับใช้ช่วงวันไหนถึงวันไหน ซึ่งผมมองว่า อย่างน้อยที่สุดไม่ควรต่ำกว่า 1 ปี เพราะจะได้สามารถประเมินและปรับเปลี่ยนอย่างสอดคล้องกับกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์อื่นๆด้วย

(2) วัน เวลาทำงานปกติ เวลาพัก และการทำงานล่วงเวลา

ซึ่งมีทางเลือกคือ ทางเลือกที่หนึ่ง คือ กำหนดขึ้นมาใหม่ หรือ ทางเลือกที่สอง ยังใช้แบบเดิม โดยที่ผมได้ออกแบบไว้ ผมยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มเงื่อนไขสถานที่ทำงานให้ครอบคลุมไปถึงสถานที่อื่นที่จะได้กำหนดขึ้นด้วย เช่น ที่พัก บ้านพักของพนักงาน

อย่างไรก็ตาม หากจะกำหนดขึ้นใหม่ ผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงความต่างและความพอดีที่จะส่งผลต่อบรรยากาศภายในได้เช่นกัน  

(3) หลักเกณฑ์การทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุด รวมทั้งการลาประเภทต่าง ๆ เป็นเหมือนข้อ (2) ซึ่งผมจะยังคงกำหนดไว้เช่นเดิม  

(4) ขอบเขตหน้าที่การทำงานของลูกจ้างและการควบคุมหรือกำกับการทำงานของนายจ้าง

ข้อนี้จะประกอบด้วย 2 เรื่องใหญ่ คือ หนึ่ง การกำหนดบทบาทของลูกจ้าง และสอง การกำหับดูแลจากนายจ้าง โดยเรื่องนี้ ผมได้ให้ทีม HR กำหนดและจัดทำเป็นคู่มือและแนวทางในการทำงาน WFH เป็นสามชุดคือ ของผู้บังคับบัญชา ของพนักงานที่ WFH และของหน่วยงานสนับสนุน เช่น HR, IT, Admin เป็นต้น  

(5) ภาระหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์การทำงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเป็นอันเนื่องจากการทำงาน

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องการเข้ามกำกับนายจ้างให้ต้องจัดหาและให้การสนับสนุนทั้งในแง่อุปกรณ์การทำงาน เช่น  โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ และสนับสนุนในเชิงภาระค่าใช้จ่าย เช่น  ค่า Wi-fI เป็นต้น

กฎหมายคุ้งครองสิทธิพนักงานที่ทำงาน WFH เต็มที่

นายจ้างบางคนที่อาจจะมีแนวคิดว่า พนักงานที่ทำงาน WFH น่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมแล้ว เช่นการได้อยู่บ้านมากกว่าเดิม ดังนั้น นายจ้างบางรายอาจจะคิดปรับลดบางเรื่องเช่น สิทธิในการสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นต้น แต่กฎหมายฉบับบนี้ ได้กำหนดแนวทางที่ดักทางเอาไว้ไม่ให้นายจ้างดำเนินการดังกล่าว โดยระบุว่า “ลูกจ้างซึ่งทำงานที่บ้าน หรือที่พักอาศัย หรือทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานที่ใด ๆ มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบกิจการหรือสำนักงานของนายจ้าง” แปลว่า นายจ้างไม่มีสามารถจะไปตัดสิทธิประโยชน์ต่างๆให้ต่างออกไปจากเดิมหรือลดลงไปได้หากลูกจ้างไม่ยินยอม

จุดเปลี่ยนสำคัญมากที่สุดของกฎหมายฉบับนี้ คือ

"ห้ามใช้งานหลังเลิกงาน"

สิ่งที่เป็นการวางแนวทางที่ยกระดับขึ้นมากของกฏหมายหมายฉบับนี้คือ การให้พนักงานทำงานหลังเวลาเลิกงานที่ได้ระบุไว้ว่า “เมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานปกติตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน หรือสิ้นสุดการทำงานตามที่นายจ้างมอบหมาย ลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธในการติดต่อสื่อสารไม่ว่าในทางใด ๆ กับนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงาน เว้นแต่ลูกจ้างได้ให้ความยินยอมโดยทำหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน”

หมายความว่า หลังเวลาเลิกงานแล้วไม่ใช่แค่การทำงานล่วงเวลาเท่านั้นที่พนักงานมีสิทธิปฏิเสธ แต่พนักงานมีสิทธิปฏิเสธทั้งผู้บังคับบัญชา ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งลูกค้าในการสื่อสาร การติดต่อสั่งงาน คุยเรื่องงานทุกช่องทาง เช่น โทรศัพท์ Line Email ยกเว้นแต่ว่า พนักงานได้ให้ความยินยอม “เป็นหนังสือ” เอาไว้เท่านั้น ซึ่งในโลกความเป็นจริงจะแทบจะเป็นไปไม่ได้ในหลายลักษณะงาน เช่นงานการตลาด งานด้าน IT, Digital  ซึ่งแต่ละองค์กรจะต้องหาแนวทางที่สมดุลระหว่างข้อความในกฎหมายนี้และการขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อจัดทำเป็นข้อตกลงร่วมกัน

ผมเชื่อว่าจะมีแนวปฏิบัติและรายละเอียดออกมาเพิ่มเติมหลังจากมีการปรับใช้กฎหมายฉบับนี้ไปแล้วสักระยะ ขอได้โปรดติดตามต่อไปครับ

หมายเหตุ: รายละเอียดของ พรบ. ฉบับบนี้ ตาม Link นี้ครับ

https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/140A020N0000000005600.pdf

Tag:
No items found.
Share this post:
ดิลก ถือกล้า

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024