>
กลยุทธ์ด้านการสรรหาและคัดเลือกที่จะช่วยพวกเรารับมือกับ"The Great Resignation"
March 14, 2022

กลยุทธ์ด้านการสรรหาและคัดเลือกที่จะช่วยพวกเรารับมือกับ"The Great Resignation"

The Great Resignation ไม่ใช่กระแสที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ แต่จะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบสถานการณ์ของโรคระบาด และอาจมี Aftershock ต่อจากนั้นอีกสักพัก

จากผลสำรวจคนอเมริกันจำนวน 20,000 คน โดย Job List ที่ปรึกษาด้านการสรรหาและคัดเลือก ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังคงยืนยันว่า คนทำงานส่วนใหญ่มีแผนการที่จะเปลี่ยนงานในปีนี้ และเป้าหมายหลักคือเรื่องของการได้ทำงานในทีที่ได้สวัสดิการและผลประโยชน์ที่ดีขึ้น ค่าตอบแทนที่ดีขึ้น และอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะกับชีวิตของตนเอง

เมื่อเทียบกับการทำงานในที่ทำงานเดิม สาเหตุที่คนตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่ ในสถานการณ์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนแบบนี้ ตั้งแต่เชื้อโควิด-19 เริ่มระบาด ไปจนกระทั่งกลายพันธุ์เป็นเชื้อล่าสุดคือ โอไมครอน ซึ่งก็ยังไม่มีท่าที่ที่ชัดเจนว่าจะจบลงเมื่อไหร่ จนทำให้คนทำงานมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็น "New Normal" ไปแล้ว ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการเปลี่ยนงาน หรือความมั่นคงในงาน ความเคยชินกับการทำงานรูปแบบใหม่แบบ Remote หรือ Hybrid Working อาจจะส่งผลต่อความกังวลว่าเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว องค์กรที่ตนเองทำงานจะยกเลิกนโยบายการทำงานเหล่านี้หรือไม่ จึงทำให้เริ่มมองหาที่ทำงานใหม่ที่เปิดกว้างในเรื่องนโยบายการทำงาน และยังเป็นโอกาสในการที่จะเพิ่มเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของตนเองด้วย อีกประการหนึ่งคือการมองหาที่ที่ให้สวัสดิการหรือผลประโยชน์ที่ดีกว่า (Welfare and Benefits) ทั้งที่จะช่วยตอบโจทย์จากการเจ็บป่วยหรือการดูแลในช่วงนี้ หรือมองไปยังอนาคต หากโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนงานไปทำงานในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลพนักงานก็ดูเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย

Robert Kelly นักวิชาการด้านการบริหารจัดการ จากมหาวิทยาลัย Carnegie Melon ให้ความเห็นว่า The Great Resignation จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และจบลงพร้อมกับ สถานการณ์การระบาดของ Covid-19 แต่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้น เสมือนกับเป็น Aftershock คล้ายกับเวลาที่เกิดแผ่นดินไหว ก็คือปรากฎการณ์ "Big Sorting" พนักงานในองค์กรตั้งแต่ระดับ CEO จนถึงระดับพนักงาน จะครุ่นคิด ไตร่ตรอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตนเองมีกับการทำงาน ทั้งเรื่องที่ทำงาน งานวิชาชีพที่ตนเองทำ เปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการด้านการใช้ชีวิต ซึ่งคนที่ทำงานในองค์กรจะใช้เกณฑ์ในเรื่องของสิ่งที่ได้รับจากการทำงานในเรื่องค่าตอบแทน ทั้งตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน มีความคุ้มค่า เหมาะสม เพียงพอ หรือไม่กับงานที่ตนเองทำ Big Sorting จะเกิดขึ้นหลังจาก โควิด-19 จบสิ้น อย่างน้อยก็ 1-2 ปี จนกระทั่งสถานการณ์ภาวะแวดล้อมด้านสภาพการทำงานกลับเข้าสู่ปกติ คนก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ แทน

The Great Resignation จะเข้ามาทำให้บทบาทของตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ผุ้สมัครจะต้องวิ่งเข้าหาองค์กร องค์กรสวมบทบาทเป็น "ผู้เลือก" มากกว่า "ผู้ถูกเลือก" เปลี่ยนเป็น "Candidate Driven Market" หรือ ผู้สมัครเป็นผู้เลือกองค์กรที่ตนเองสนใจ ผู้ที่กำลังหางานอยู่ ณ ขณะนี้ ให้ความเห็นในการสำรวจว่า ตำแหน่งงานที่มีการประกาศรับสมัคร มีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2021 ทำให้ตัวเลือกที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น และน่าจะนำไปสู่การตัดสินใจในการสมัครงาน และด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Job Search ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงานสามารถค้นหางานที่ตรงกับความของตัวเองได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วัฒนธรรมองค์กร การให้เงินเดือนสวัสดิการ การให้ความยืดหยุ่นเรื่องการทำงาน (Flexible Working) องค์กรจะต้องปรับตัวพอสมควรในการที่จะต้องประกาศตัวว่าตนเองมีจุดเด่นอะไรที่ไม่เหมือนที่อื่น เพื่อให้สามารถดึงดูดผู้สมัครที่ดีที่สุดในท้องตลาดให้ได้ ในยุค Return of Talent War แบบนี้

ภาพรวมในเรื่องของกลยุทธ์การดูแลพนักงานในช่วงที่เริ่มเกิดปรากฎการณ์ The Great Resignation ที่สำคัญอันดับแรก คือเรื่องของการมุ่งเน้นในเรื่องของการรักษาพนักงาน (Retention) หรือว่าการอุดรูรั่วให้ได้ โดยเฉพาะพนักงานที่เป็นกำลังหลักในองค์กร ให้ยังอยู่กับองค์กร ซึ่งแนวทางที่พอจะช่วยรักษาคนเก่งไว้กับองค์กรได้ มีดังนี้

1. การรับฟังพนักงานให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร "การฟัง" ก็ดูจะเป็นเหมือนสูตรสำเร็จในการดูแลพนักงาน แต่บางครั้ง การฟังอย่างเดียวก็คงไม่พอ ภายหลังจากที่มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน หรือมีการทำ Focus group แล้ว จะต้องนำไปสู่การทำแผนเพื่อพัฒนา เช่น พนักงานที่เป็นกำลังหลักในองค์กร ชอบที่จะทำงานที่ท้าทาย มีโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือโอกาสในการโยกย้ายไปทำงานในหน้างานอื่น ๆ บ้าง HR ควรจะเริ่มมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการดูแลพนักงานกับทางต้นสังกัดว่ามีความคิดเห็น หรือมีแนวทางในแต่ละเรื่องอย่างไรบ้าง และรีบให้การสนับสนุน

2. การพัฒนาหัวหน้างานให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ผู้สมัครเดินเข้ามาสมัครงาน และตัดสินใจร่วมงานกับองค์กร ด้วยความรัก ความชอบ ความศรัทธาในชื่อเสียงขององค์กร แต่วันที่เดินออกจากองค์กร สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนมาจากปัญหาเรื่องการดูแลจากหัวหน้า ความท้าทายขององค์กร ในช่วงนี้ก็คือเรื่องของการพัฒนาคน โดยเฉพาะหัวหน้างานซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยรั้งพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้ ทั้งในเรื่องของความรู้สึกที่ดีจากการที่มีหัวหน้าที่ดี เอาใจใส่ดูแลพนักงานได้อย่างทั่วถึง หรือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติมจากหัวหน้า ซึ่งเริ่มต้นจากการพัฒนาหัวหน้างานให้สามารถทำงานในบทบาทของหัวหน้างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าองค์กรทำเรื่องการ "อุดรูรั่ว" ได้ดี การสรรหาและคัดเลือกพนักงานใหม่ๆเข้ามาเติม ก็จะช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้องค์กรไม่ต้องรับศึกหนักในด้านการรับคนที่ถมเข้ามาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม

กลยุทธ์ด้านการสรรหาและคัดเลือกที่จะช่วยพวกเรารับมือกับ "The Great Resignation"

การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร (Employer Brand)

การทำให้องค์กรเป็นที่รู้จัก เป็นส่วนสำคัญที่จะเรียกผู้สมัครให้เข้ามาสมัครงานหรือศึกษาองค์กร การสร้างภาพลักษณ์หรือสร้าง Brand นายจ้าง ในรูปแบบใหม่ อาจจะต้องมีการจับมือกับ Partner ที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายเราสนใจ เช่น Uber จับมือกับ Spotify เพื่อให้บริการ Music Streaming แก่ผู้ใช้บริการของ Uber ในภาพของการสรรหาและคัดเลือกขององค์กรก็เช่นเดียวกันที่จะต้องวิเคราะห์ว่า "ลูกค้า" หรือผู้สมัครของเราจะไปอยู่ที่ใด ติดตามใครในสังคมออนไลน์ ผู้สมัครของเรามีคุณลักษณะ (Persona) อย่างไร และเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ชื่อขององค์กรของเราได้ผ่านหูผ่านตาเขาบ้าง และจะวัดผลสำเร็จได้อย่างไรจากการสร้าง Brand

บุกไปยังตลาดของผู้ที่ยังไม่สนใจเปลี่ยนงาน (Reaching Passive Candidate)

จากการสำรวจเกี่ยวกับการจ้างงานพบว่า การจ้างงานคนที่ไม่ได้สนใจที่จะเปลี่ยนงานตั้งแต่ทีแรก (Passive Candidate) มีโอกาสที่จะได้คนที่ดี มีประสิทธิภาพ และอยู่กับองค์กรได้นาน มากกว่าคนที่อยู่ระหว่างการหางาน หรือว่างงาน เพราะฉะนั้นการทำงานของ Recruiter จะต้องลองพิจารณาเรื่องการเข้าถึงกลุ่มผู้สมัครที่เป็น Passive เพื่อเพิ่มฐานข้อมูลของกลุ่มผู้ที่น่าจะเป็นผู้สมัคร และเพิ่มโอกาสในการได้คนที่มีประสิทธิภาพมาร่วมงานกับองค์กร ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าถึง Passive Candidate ได้ก็คือ การทำ Referral Program เพื่อให้พนักงานแนะนำเพื่อนที่น่าจะช่วยทำงานให้กับองค์กรได้ เข้ามาร่วมงานกับองค์กร การทำโปรแกรมนี้พบว่าจะมีโอกาสในการได้ Successful Candidate ได้ถึง 40%

การสรรหาและคัดเลือกแบบทางไกลจะเป็นแนวทางการทำงานแบบใหม่ (Remote Recruitment Process)

การสรรหาและคัดเลือกแบบทางไกล (Remote) จะถูกปฏิบัติจนเป็นแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการช่วยเรื่องความสะดวกสบายของผู้สมัคร การเพิ่มโอกาสในการสรรหาผู้สมัครที่ไม่สะดวกในการเดินทางเข้ามาสัมภาษณ์ หรือผู้สมัครที่อยู่ต่างประเทศ และช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานของ Recruiter ให้การนัดหมายให้สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น การพัฒนาในด้านนี้ คือเรื่องของรายละเอียดในการบริหารกระบวนการ Remote Recruitment ซึ่งควรมีเวลานำกลับมาทบทวนเพื่อออกแบบกระบวนการใหม่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจากกระบวนการและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นของผู้สมัครในช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากนั้น ขอพูดถึงการปรับปรุงกระบวนการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Online Recruitment ด้วย จากผลสำรวจผู้สมัครทั่วโลกพบว่า การที่บริษัทมี Features ให้ผู้สมัครงาน สามารถกรอกข้อมูลในการสมัครงานแบบสั้น ๆ (Quick Apply) จะช่วยขยายฐานของผู้สมัครให้เพิ่มมากขึ้น สามารถเพิ่มจำนวนใบสมัครได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว และส่งผลต่อประสบการณ์ที่ดีกับผู้สมัคร (Candidate Experience) ด้วย

ก้าวไปสู่ Recruitment Marketing ด้วยการใช้ข้อมูล

การใช้ข้อมูลบุคคลภายนอกเพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์กร ที่ผ่านมาจะเป็นการใช้ข้อมูลเพื่อนำมาปรับปรุงกระบวนการหรือกลยุทธ์ทางด้านการขายหรือการตลาดเพียงเท่านั้น ในการสรรหาและคัดเลือก ยังไม่ได้นำข้อมูลในส่วนนี้มาใช้มากเท่าไรนัก แม้ว่าจะมีการเก็บข้อมูลนี้ได้ดีในระดับหนึ่งก็ตาม สิ่งที่ต้องเริ่มทำคือการทำ Recruitment Marketing เพิ่มมากขึ้นโดยใช้ข้อมูล Insight มาเป็นสิ่งที่จะกำหนดแนวทางการทำงาน เช่น การใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ว่าช่องทางไหนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการประกาศรับพนักงานกลุ่มต่าง ๆ ระยะเวลาการสรรหาและคัดเลือกของหน่วยงานใด ที่นานกว่าหน่วยงานอื่น เพื่อที่จะวิเคราะห์ว่ามีปัญหาอะไรที่ควรจะรีบแก้ไขหรือไม่

การหาคนจาก Soft Skill มากกว่า Hard Skill

โดยปกติเวลาที่ทำการสรรหาคัดเลือก สิ่งที่สามารถสังเกตและเห็นได้ชัดจากข้อมูลคือความสามารถที่เป็นด้าน Hard Skill เช่น คุณสมบัติทางด้านการศึกษา หรือความสามารถในการทำงานที่สามารถแสดงให้เห็นจากการสาธิต (Role Play) หรือการเล่ากระบวนการ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้หุ่นยนต์ที่มีการเรียนรู้ได้แบบ AI แทบจะสามารถเข้ามาแทนที่การทำงานตามกระบวนการของมนุษย์ได้เกือบทั้งสิ้น ไม่ช้าก็เร็วงานที่เป็น Hard Skill จะถูกทดแทน เพราะฉะนั้น องค์กรจึงควรจะมองหาคนที่มี Soft Skill และจริงจังกับการสรรหาคนที่มีความสามารถด้านนี้ แม้ว่าจะทำได้ยากกว่า แต่ก็เป็นสิ่งที่ยังคงต้องการมนุษย์เป็นผู้ทำงาน หุ่นยนต์หรือ AI ไม่สามารถทำแทนได้ ความสามารถด้าน Soft Skill ที่เราควรจะให้ความสำคัญและจะไม่ถูกทดแทนในอนาคตอันใกล้ มีดังนี้

  • ความเข้าใจในอารมณ์ ความรู้สึก Emotional intelligence
  • ความสามารถในการปรับตัว และการต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลง Adaptability & Resilience
  • ความสุจริตและมีจริยธรรม ความดี Integrity & Ethics
  • ความคิดสร้างสรรค์ Creativity
  • การทำงานเป็นทีม Teamwork

การสร้างความเป็นอัตลักษณ์ให้องค์กร (Corporate Identity)

ผู้สมัครในอนาคตจะเป็นกลุ่มคน Gen Z เพิ่มมากขึ้น คนกลุ่มนี้เกิดมาบนยุคที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมโดยเฉพาะเทคโนโลยี ทำให้คนกลุ่มนี้มีความสามารถในการหาข้อมูลหรือหาสิ่งที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของตนเองได้มากที่สุด ทั้งในด้านที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม องค์กรที่สามารถสร้างจุดยืน สร้างตัวตน ความแตกต่าง ไม่เหมือนกับองค์กรอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมองค์กร วิธีการทำงาน การให้ความสำคัญกับการเท่าเทียมกัน เรื่องเพศ ศาสนา การเมือง องค์กรมีความชัดเจนในอัตลักษณ์ของตนเองจะช่วยดึงดูดให้ผู้สมัครที่คิดตรงกันกับองค์กร สนใจที่จะมาร่วมงานหรือสมัครงาน และช่วยสร้างความได้เปรียบอย่างมากในการแข่งขันในการหาคนเก่งมาทำงานให้กับองค์กร โดยเฉพาะกลุ่ม Generation ใหม่ๆ นอกจากนี้ องค์กรที่ไม่ได้มีการปรับตัว และไม่ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานมากเพียงพอ อาจจะมีความเสี่ยงทั้งในด้านการรักษาพนักงานกลุ่ม Gen Z ซึ่งเติบโตมากับเทคโนโลยี Digital หรือ "Digital Natives" ที่รับเข้ามาทำงานแล้ว และไม่สามารถดึงดูดพนักงาน Gen Z กลุ่มใหม่ ๆ ได้

การสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้สมัคร (Positive Candidate Experience)

บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์ คำถามสัมภาษณ์ และการให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาของ Recruiter ทุกการปฏิสัมพันธ์กับผู้สมัคร ล้วนส่งผลต่อประสบการณ์ และความรู้สึกของผู้สมัคร ซึ่งก่อให้เกิดผลบวก หรือ ผลลบได้มากกว่าที่คิด จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณบังเอิญได้ไปสัมภาษณ์ Influencer ที่มีผู้ติดตามเป็นล้านคนบนสังคมออนไลน์ แต่องค์กรของคุณกลับสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีแก่เขา เขาอาจจะนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนก็เป็นได้ ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ที่คุณพยายามสร้างมลายหายไปในชั่วข้ามคืน หรือถ้าคุณทำได้ดี ก็อาจจะส่งผลให้ดึงดูดคนทั่วไปได้เพิ่มขึ้นอีกโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว

การให้ความสำคัญกับนโยบาย Remote Working หรือ Hybrid Working

ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมากกว่าครึ่งให้ความสนใจกับการทำงานแบบ Remote โดยมี 45% ให้ความเห็นว่า มีโอกาสที่จะลาออกถ้าองค์กรต้องการให้ทำงานแบบ On-Site นอกจากนั้นจากผลสำรวจยังพบว่า พนักงานที่เป็นผู้หญิง และอายุน้อย จะมีแนวโน้มชอบการทำงานแบบ Remote Working มากกว่ากลุ่มเพศชาย หรือกลุ่มที่มีอายุมาก

การใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยี Virtual Reality (VR)

จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากในขณะนี้ Facebook ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Meta และประกาศตนว่าจะเป็นผู้นำในเทคโนโลยี Metaverse ในงานด้าน Recruitment ก็ควรที่จะศึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน หลาย ๆ ที่เริ่มมีการให้ทดสอบเพื่อรับพนักงานโดยใช้อุปกรณ์ VR หรือใช้ VR ในการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ อีกไม่นานคงจะเริ่มมีการจับจองพื้นที่ใน Metaverse เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในด้านการโฆษณา การจัดกิจกรรมเพื่อให้รู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับ Brand ในอนาคตอันใกล้น่าจะมีการทำ Job Fair บน Metaverse ซึ่งปัจจุบันก็มีการจัดงานบน Virtual Event อยู่แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้

พนักงานจะให้ความสำคัญกับสวัสดิการและผลประโยชน์อื่นๆ หลังเหตุการณ์โรคระบาด

ช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ผู้สมัครให้ความสำคัญกับเรื่อง Salary และสวัสดิการที่เป็นตัวเงินเป็นหลัก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาดขึ้น ความคิดของผู้สมัครมีการให้ความสำคัญกับเรื่องสวัสดิการและผลประโยชน์ (Welfare and Benefits) เพิ่มมากขึ้น เพราะเชื่อว่าโอกาสที่โรคอุบัติใหม่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ องค์กรที่มีการดูแลให้สวัสดิการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงานที่ดี จะช่วยทำให้พนักงานอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยพนักงานจะให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับสวัสดิการและผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่อง Healthcare และ Flexible Working ตามลำดับ สำหรับพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในองค์กรก็มีความคาดหวังให้องค์กรทบทวนเรื่อง Welfare และ Benefits ที่เหมาะสมเมื่อจบสถานการณ์ของโรคระบาด

จากข้อมูลแนวโน้มสถานการณ์และกลยุทธ์การรับมือกับ The Great Resignation จะเห็นได้ว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างไปจากเดิม ระยะเวลา 2-3 ปีที่เราเผชิญกับโรคระบาด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก คนทำงานมีความคิดที่จะลาออกแม้ว่าจะไม่มีงานใหม่ ข้อมูลสถิติการลาออกของคนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งงานที่เปิดรับพนักงานก็มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นในมุมมองของผู้สมัคร แต่ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจว่าในขณะที่ตำแหน่งงานที่เปิดรับมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีตำแหน่งงานว่างมากกว่าจำนวนคนว่างงานเสียอีก แต่ทำไม Recruiter ก็ไม่สามารถหาคนมาเติมให้เต็มได้เสียที แม้ว่าจะมีคนลาออกเยอะจนเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถจ้างคนเพื่อมาเป็นพนักงานได้ตามตำแหน่งที่เปิดรับทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นตำแหน่งงานใหม่ที่องค์กรยังไม่เคยรับพนักงานใหม่มาก่อน เพื่อรองรับกับธุรกิจใหม่ หรือการเติบโตของเทคโนโลยีทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของงานบางงาน ซึ่งบางครั้ง Recruiter เองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างไร การพัฒนาตนเองให้มีความรู้ด้านธุรกิจ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถพัฒนางานสรรหาและคัดเลือกได้ ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของพวกเราชาว Recruiter ซึ่งมีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าการเลือกกลยุทธ์ หรือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในองค์กรของเรา

Reference

Predicting How, When Or If ‘The Great Resignation’ Will End - Forbes

Recruitment trends you should prepare for in 2022

2022 Trends United States Job Market Report - Job list

5 Recruiting Strategies to Implement in 2022 - Innoflow

20 recruitment strategies to win the war for talent in 2022

29 Recruitment Strategies With Real Examples for 2022 - Builtin

Hiring And Recruitment Trends To Expect In 2022 - Forbes

Tag:
No items found.
Share this post:
ชินภัทร์ สุวรรณพุ่ม

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024