>
สงครามเทคโนโลยี และการล่าอาณานิคมยุคใหม่
March 30, 2021

สงครามเทคโนโลยี และการล่าอาณานิคมยุคใหม่

ประเด็นร้อนที่ทุกคนให้ความสนใจเพราะส่งผลกระทบไปทั่วโลกในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่ต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันไปมาด้วยมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าการตั้งกำแพงภาษีกับจีนนั้นเป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของสหรัฐ เนื่องจากจีนใช้การบีบบังคับให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศต้องเข้าร่วมทุนกับบริษัทจีน และต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทร่วมทุน เพื่อให้จีนบรรลุยุทธศาสตร์ชาติที่เรียกว่า “Made in China 2025” ซึ่งหลักการสำคัญ คือ รัฐบาลสนับสนุนมาตรการทางภาษีให้เอกชนซื้อเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ทั่วโลก และนำมาพัฒนาต่อยอดก่อนส่งออกไปขายให้ประเทศต่าง ๆ ในราคาที่ถูกกว่า ข้อเท็จจริงที่ประเมินโดยสำนักวิจัยเศรษฐกิจแสดงให้เห็นว่า การตั้งกำแพงภาษีไม่ได้ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนลดลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จึงนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2561 สหรัฐขาดดุลกับจีนเพิ่มขึ้น 10.4% และมีแนวโน้มว่าปี 2561 จะเป็นปีที่สหรัฐขาดดุลกับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น หากพัฒนาการยังเป็นเช่นนี้ จึงเป็นไปได้ว่าสหรัฐอาจยังไม่เพิ่มระดับการขึ้นภาษี ในปี 2562 แต่จะหันมากำกับเป็นรายอุตสาหกรรม หรือรายบริษัทแทน ทำให้ผลกระทบต่อสงครามการค้า (Trade War) ต่อเศรษฐกิจโลกในฐานะห่วงโซ่การผลิต (Global Supply Chain) ไม่น่าจะรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ประเด็นด้านสงครามการค้าอาจลดความตึงเครียดลง แต่การกีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ของสหรัฐกับประเทศจีนที่พยายามพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง เพื่อไม่ให้ต้องพึงพาเทคโนโลยีจากประเทศตะวันตก และทำให้ดียิ่งกว่าในราคาที่ถูกกว่า กำลังนำไปสู่สงครามทางเทคโนโลยี หรือ Tech War อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประเทศจีนเคยเป็นผู้นำในการสร้าง 4 สิ่งสุดยอดเทคโนโลยีในโลกยุคโบราณ คือ เข็มทิศ ดินปืน กระดาษ และการพิมพ์ ก่อนที่จะถดถอยและปิดประตูไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างยาวนาน ปัจจุบันจีนได้หวนกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสงสัยเกี่ยวกับศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของจีน เป็นสิ่งที่สหรัฐรู้สึกกลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของตน ได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว  จากการจัดอันดับบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ตของโลกในปี 2561 โดยใช้มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capability) เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ มีบริษัทของจีนติดอันดับมากถึง 7 รายจาก 15 อันดับแรก นำโดย Tencent  Alibaba และ Baidu ซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้ ล้วนโดดเด่น ทันสมัยและมีความหลากหลาย ทั้งยังมีการพัฒนาเพื่อรองรับเทรนด์ต่าง ๆ ของผู้บริโภคในอนาคตด้วย

การก้าวกระโดดในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ส่วนหนึ่งมีแรงผลักดันจากการปลูกฝังแนวคิดการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยี (Techno-Nationalism) ซึ่งสะท้อนความเจ็บปวดจากการถูกครอบงำโดยประเทศตะวันตกในสมัยยุคการล่าอาณานิคม (Colonialism)  นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของลัทธิล่าอาณานิคม คือ 3 G “พระเจ้า (God)  ทองคำ (Gold)  และ ความรุ่งโรจน์ (Glory)”   พระเจ้า คือการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังดินแดนห่างไกล ทองคำคือ ทรัพยากรและวัตถุดิบรวมทั้งแรงงานที่จะนำกลับมาสร้างความมั่งคั่ง ส่วนความรุ่งโรจน์ คือความภาคภูมิใจของราชวงศ์ในยุโรปที่สามารถขยายดินแดนในโลกใหม่ ความทะเยอทะยานของเหล่าประเทศล่าอาณานิคม ทำให้จีนซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และจำนวนประชากรมากกว่า 1 ใน 4 ของโลก ตกเป็นเป้าของการไล่ล่าเพื่อเข้ายึดครอง ตักตวงทรัพยากรและผลประโยชน์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หลังยุคล่าอาณานิคม เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัล  โทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง กลายเป็นระบบนิเวศใหม่ที่เปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แรงกระตุ้นในการขยายธุรกิจเพื่อยึดครองตลาดในประเทศต่าง ๆ ไม่ได้อยู่บนความเชื่อ 3G  “God, Gold, Glory” อีกต่อไป แต่มาจากแรงจูงใจในการสร้างผลกำไรในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีของตนเอง ควบคู่กับความต้องการผูกขาดความเป็นเจ้าขององค์ความรู้ในเทคโนโลยีนั้น ๆ แรงจูงใจดังกล่าวกำลังนำโลกกลับไปสู่ยุคล่าอาณานิคมใหม่ (Neo-Colonialism) ซึ่งคราวนี้อำนาจไม่ได้มาจากนโยบายเรือปืน แต่มาจากการควบคุมการพัฒนาและจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้วเพื่อตักตวงผลกำไรจากประเทศกำลังพัฒนา การล่าอาณานิคมยุคใหม่ (Neo-Colonialism) โดยอาศัยเทคโนโลยี กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะเทคโนโลยีนำมาซึ่งความสุขสบายในการใช้ชีวิตของทุกคน

นอกจากการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูง ข้อมูลที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google, Facebook, Amazon ได้ไปจากผู้บริโภค ช่วยให้การกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมการบริโภคสินค้าหรือบริการ ของประชาชนในประเทศที่ใช้เทคโนโลยีของบริษัทดังกล่าวเป็นไปได้ง่ายขึ้น บริษัทเหล่านี้กลายเป็นผู้ผูกขาดรายได้โฆษณาออนไลน์ ข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมากได้สร้างความได้เปรียบให้กับเจ้าของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ  อาจพูดได้ว่าเสมือนหนึ่งทุกวันนี้การปกครองอาณานิคมได้เปลี่ยนจากรัฐชาติ มาเป็นบริษัทขนาดใหญ่แทน เป็นการได้อาณานิคมใหม่โดยมีประชากรจำนวนมากในรัฐอาณานิคมช่วยสร้างรายได้ให้ โดยไม่ต้องใช้กำลังบีบบังคับเช่นในอดีต ประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเองได้เช่นจีน อาจจะสามารถสลัดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นภายใต้ระบบอาณานิคมยุคใหม่ (Neo-Colonialism) ได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยการทำสงครามที่ไม่ต้องใช้กระสุนปืน เป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจักรวรรดิที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีอยู่เดิม คือสหรัฐอเมริกา

ฐานเศรษฐกิจ. “สงครามเทคโนโลยีและการล่าอาณานิคมยุคใหม่ (Trade War and Neo-Colonialism)”, CEO Focus, The Disrupt, หน้า 23, 19 มกราคม 2562

HR Society Magazine. “สงครามเทคโนโลยีและการล่าอนานิคมยุคใหม่ (Tech War and Neo-Colonialism)”. ธรรมนิติ.  Vol. 17, No 194, หน้า 14-17, กุมภาพันธ์ 2562

Tag:
No items found.
Share this post:
ดร.ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024