โดยวัตถุประสงค์หลักของเครื่องมือนี้ คือ การสำรวจความคิดเห็นพนักงานใน 3 เรื่อง
Say พนักงานพูดถึงองค์กรอย่างไร พูดถึงในแง่ดีหรือเชื้อเชิญคนให้อยากมาทำงานกับองค์กรหรือไม่
Stay พนักงานต้องตัดสินใจอย่างหนักที่จะต้องลาออกจากองค์กรหรือไปอยู่กับคู่แข่งหรือไม่
Strive พนักงานอยากจะทุ่มเทในการทำงานให้กับองค์กรทำงานด้วย Passion เพื่อหวังผลงานชั้นเลิศ หรือไม่
เมื่อได้ผลสำรวจแล้วก็จะนำมาวัดค่าคะแนนและนำมาเทียบกับปัจจัยอื่นในด้านการบริหารองค์กร ที่ส่งผลต่อทั้ง Say Stay และ Strive เพื่อดำเนินการวางแผนแก้ไขเพื่อหวังให้คะแนนดีขึ้นโดยสิ่งที่องค์กรอยากจะสร้างมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องการสร้างให้พนักงานมีความทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้เกิด Productivity สูงที่สุด
พนักงานอาจจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงองค์กรในแง่ดีแก่ผู้อื่นหรือเป็นเชิญชวนคนนอกให้มาร่วมงานกับองค์กร (Say) แต่ถ้าองค์กรมีแต่คนที่ยินดีที่จะอยู่กับองค์กรไปเรื่อยๆ (Stay) และไม่สามารถหาคนที่มีความทุ่มเท มี Passion ในการทำงาน (Strive) จะเกิดอะไรขึ้นกับองค์กร?
Working Just Hard Enough Not to Get Fired
การทำงานในระดับที่จะไม่ได้โดนไล่ออก
ประโยคนี้อธิบายปรากฎการณ์ Quiet Quitting ได้เป็นอย่างดี ครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ผมเองก็คิดว่าหมายถึงการลาออกไปแบบเงียบๆ โดยไม่ได้บอกใครหรือเปล่าเพราะดูความหมายจากคำนี้ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนในการตีความ แต่ความเป็นจริงแล้ว Quiet Quitting มีที่มาจากผู้ใช้ Application Tiktok ซึ่งทำงานเป็นวิศวกรที่อยู่ในเมือง New York ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งพยายามจะแชร์ไอเดียของตนเอง ที่ไม่ต้องการจะทำงานมากๆหรือทุ่มเทการทำงานไปมากกว่าสิ่งที่กำหนดไว้ใน Job Description หรือ“จะทำงานเฉพาะตามหน้าที่ที่กำหนด” (แบบไม่ให้โดนบริษัทมาไล่ออกได้)ไม่สามารถทนที่จะทำงานเยอะๆต่อไปได้อีก Feed นี้ใน Tiktok มีคนเข้ามาดูกว่า 3 ล้านครั้งซึ่งมีความสอดคล้องกับการสำรวจความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร (Employee Engagement Survey) จาก Gallup พบว่าคะแนนผลสำรวจกลุ่มที่มีความผูกพันกับองค์กร (Engaged) ของคนทำงานในสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 36% ในปี 2020 ลงมาที่ 32% ในปี 2022 จาก Trend Quiet Quitting นี้ก็พอจะสะท้อนได้ว่าคนทำงานไม่ต้องการที่จะ Strive หรือทำงานทุ่มเทให้กับองค์กรโดยที่ยังไม่เห็นว่าจะได้อะไร แต่ก็ยังไม่อยากจะไปทำงานที่อื่นเนื่องจากการหางานใหม่ยากลำบาก หรืออยู่ในยุคที่เศรษฐกิจไม่คล่องตัวเหมือนในยุคนี้ทำให้คนเลือกที่จะเกาะเก้าอี้ตัวเองไว้ ไม่ไปไหนจนกว่าจะมีโอกาสที่ดีจริงๆจึงค่อยคิดว่าจะไปจากองค์กร และก็ยังมีแนวโน้มที่จะ"ไม่ผูกพัน" คือไม่ Say Stay Strive สูงขึ้นในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาอีกด้วย ดังแผนภาพนี้
Work / Pay / Time
เพื่อให้เห็นภาพของ Quiet Quitting มากขึ้นนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าสถานการณ์ Covid-19 มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด Trend ใหม่นี้ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคระบาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่สามารถออกไปพักผ่อนหย่อนใจหรือได้ปรับทุกข์กับเพื่อนที่ทำงานแบบพบหน้ารวมถึงบางคนก็อยู่ในองค์กรที่อยู่ในสถานะเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ต้องทำงานหนักขึ้นโดยไม่ได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมส่วนหนึ่งพนักงานก็มีความเข้าใจในสถานการณ์แต่ก็ไม่แปลกที่พนักงานจะเกิดอาการอ่อนล้าหรือที่เรียกว่า Burn Out ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของชาว Quiet Quitting ซึ่งมีความต้องการที่จะสร้างสมดุลใน 3 ด้าน เรื่องของงาน (Work) ต้องการทำงานตามหน้าที่หรือตามที่ตกลงกัน ไม่ต้องการทำอะไรใหม่ ทำอะไรเพิ่มเพราะคิดว่าทำให้เหนื่อยหรือไม่มีเวลาพักผ่อนสูญเสียเรื่องของ Work and Life Balance เรื่องของการจ่าย (Pay) พวกเขาสามารถทำงานเพิ่มขึ้นได้หากได้รับค่าตอบแทนที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องของเวลา (Time) การทุ่มเททำงานหลังเวลาทำงานเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความคิดของชาว Quiet Quitting จริงๆแล้ว คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นสิ่งที่ผิดแต่ก็ดูจะขัดแย้งกับความต้องการขององค์กรที่อยากเห็นพนักงานมีความเป็นเจ้าขององค์กร (Ownership) ทำงานเสมือนว่าเป็นธุรกิจของตนเอง ถ้าองค์กรของคุณเกิดสถานการณ์แบบนี้จะไปต่ออย่างไรดี?
สัญญาณบอกเหตุว่าพนักงานของคุณอาจะเป็น Quiet Quitter
· ไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานโครงการที่ทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
· จากที่เคยทำงานได้มาตรฐานสูง แต่จู่ๆก็มีความตั้งใจที่จะทำงานตามมาตรฐานขั้นต่ำหรือพอผ่าน
· ไม่สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานปลีกตัวจากสมาชิกคนอื่นๆ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมขององค์กร
· งดแสดงความคิดเห็นในการประชุมหรือเสนอตัวที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งที่มีโอกาสหรือความสามารถ
หากองค์กรของคุณอยู่ในช่วงที่เติบโตและไม่ต้องการจะเติบโตเพิ่มแล้วอาจไม่เป็นไรและไม่ส่งผลกระทบอะไรกับองค์กร แต่ถ้าองค์กรของคุณอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลานตั้งไข่ หรือกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวการมีพนักงานที่ต้องการทำงานเพียงแค่ไม่ให้โดนไล่ออก น่าจะมีปัญหาแน่ เพราะองค์กรจะหาพนักงานที่จะมาร่วมสู้ร่วมสร้างการเจริญเติบโตให้กับองค์กรคงจะหาได้ยากวิธีที่พอจะช่วยไขปัญหาและลดอาการ Quiet Quitting ได้แก่การรับฟังความต้องการของพนักงาน ถ้าองค์กรมีการทำการสำรวจ Employee Engagement Survey อาจจะต้องขุดคุ้ยลงไปให้เจอว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้พนักงานทุ่มเทในการทำงาน (Strive) แล้ววิเคราะห์ต่อไปว่าปัจจัยอะไรที่ช่วยสร้างความทุ่มเทในการทำงานการส่งเสริมบทบาทของหัวหน้างานในการทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นรวมถึงการทำความเข้าใจความต้องการหรือความคิดของพนักงานแต่ละคนบางคนคิดว่าค่าตอบแทนไม่เหมาะสมกับงาน บางคนคิดว่าปริมาณงานเยอะเกินไปหรือมีคนที่ได้รับมอบหมายงานไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ต้องการทำงานหลังเวลาเลิกงานเพราะมีภาระที่จะต้องดูแล
แม้ว่าเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Quiet Quitting ไม่ส่งผลดีกับองค์กรโดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในระหว่างการเติบโตซึ่งต้องการพนักงานที่มี Passion หรือทุ่มเททำงานเพื่อองค์กร แต่ข้อคิดสำหรับพนักงาเองก็น่าสนใจหากคุณตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็น Quiet Quitter อาจส่งผลต่อ Career หรือโอกาสในการก้าวหน้าของคุณในระยะยาวการอยุ่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลานานๆอาจทำให้คุณเกิดอาการเคยชินทำให้ไม่สามารถรับแรงต้านหรือปรับตัวถ้าวันนึงต้องเจอสถานการณ์ที่มีความจำเป็นต้องทำงานหนักได้หรือในด้านของการพัฒนาทักษะบางอย่าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานอกเหนือจากการทำงานหากคุณปฏิเสธการสนับสนุนเรื่องการพัฒนาจากองค์กรเพราะไม่อยากใช้เวลาส่วนตัวหรือการพัฒนาทำให้รบกวนเวลาทำงานทำให้คุณต้องทำงานล่วงเวลาทักษะของคุณอาจจะไม่ได้รับการพัฒนา และองค์กรอาจจะมองหาเทคโนโลยีหรือบริษัท Outsource ภายนอกที่สามารถทำงานแทนคุณได้ เข้ามาทำงานแทนคุณโดยเฉพาะการทำงานในส่วนที่ไม่ต้องการการทำงานจากพนักงานหรือต้องการ Ownership สูงเพราะฉะนั้นการเดินทางสายกลางคือการพูดคุยสื่อสารกับหัวหน้างาน บริหารความคาดหวังรับทราบภาระหน้าที่ส่วนตัว หรือความต้องการส่วนตัวที่เราต้องการ ทุ่มเทให้กับงานที่มีความสำคัญก็น่าจะเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างองค์กรและพนักงานได้และพนักงานก็ยังทำงานได้อย่างมีความสุขและสร้างสมดุลในชีวิตได้อีกด้วยน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ
ที่มา
When Quiet Quitting Is Worse Than the Real Thing - HBR
Is Quiet Quitting Real? - Gallup
What is quiet quitting? - World Economic Forum
Quiet quitting เทรนด์ทำงานที่กำลังมาแรงใน TikTok คืออะไร - BBC
รู้จัก Quiet Quittingเมื่อคนรุ่นใหม่แก้ปัญหาหมดไฟ ด้วยการทำงานแค่ตามหน้าที่ - Techsauce