>
ทำไมการพัฒนาความเป็นผู้นำถึงไม่ควรเป็นเอกสิทธิ์แค่กลุ่ม Talent
May 24, 2023

ทำไมการพัฒนาความเป็นผู้นำถึงไม่ควรเป็นเอกสิทธิ์แค่กลุ่ม Talent

ปฎิเสธไม่ได้ว่าทุกองค์กรต่างต้องพึ่งพาการเติบโตจากพนักงานที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า “Talent” เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในภาวะการแข่งขันและโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งเมื่อหลายสิบปีก่อนบริษัทที่ปรึกษาชื่อก้องโลกอย่าง McKinsey ยังเคยออกหนังสือชื่อ “War of Talent” เพื่อชี้ให้เห็นว่าทุกองค์กรต้องช่วงชิงกัน เพื่อแย่งชิงผู้ที่มีความเก่งขั้นเทพ อันจะนำมาสู่การได้เปรียบในการแข่งขันและทำธุรกิจ จึงไม่แปลกที่เรามักจะได้ยินองค์กรต่าง ๆ สรรเสริญและเชิดชูการที่จะต้องค้นหาคนที่เป็น “Talent” แม้กระทั่งในปัจจุบันบริษัทสตาร์ทอัพน้อยใหญ่ก็มักจะมีการชี้ว่า ตนนั้นรับแต่คนเก่งขั้นเทพ หรือเราต้องคัดแต่คนเก่งๆเอาไว้ ส่วนคนที่เก่งในระดับที่รองลงมาก็มักจะถูกมองข้ามไป

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ปัจจุบันเวลาที่องค์กรจัดการพัฒนาในแง่มุมการพัฒนาความเป็นผู้นำ องค์กรมักจะนำผู้ที่มี ผลงานโดดเด่นและยอดเยี่ยม หรือที่เรียกว่า “Talent” เท่านั้นเพื่อเข้าสู่โปรแกรมการพัฒนาภาวะผู้นำขององค์กร โดยการคัดเลือกเพื่อได้มาซึ่งรายชื่อของพนักงานเก่ง ๆ ที่จะนำมาพัฒนานี้ ซึ่งการทำโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำสำหรับคนเก่งในองค์กรนั้นมักจะมีจุดที่น่าสังเกตอยู่สามประการ ดังนี้

1. องค์กรมักจะนำผู้ที่ผู้นำองค์กรชื่นชอบหรือเห็นความสำคัญเข้าร่วมโครงการ - ความพยายามเพื่อที่จะคัดเลือกพนักงานเข้าโปรแกรมการพัฒนาผู้นำ มักจะมาจากการตัดสินใจเลือกจากผู้นำ เนื่องจากองค์กรเชื่อว่า ความสำเร็จเป็นสิ่งที่มาจากการกระทำของแต่ละบุคคล และแต่ละบุคคลก็ต้องแสดงผลงาน หรือลักษณะต่าง ๆ ที่เด่นชัดให้กับผู้บริหารได้เห็น ดังนั้นคนที่เข้าโปรแกรมเหล่านี้ก็จะเป็นคนที่ผู้บริหารได้มีโอกาสเห็นผลงาน หรือทัศนคติก่อนเป็นอันดับแรก ๆ

2. องค์กรมักจะนำผลงานในอดีตมาเป็นตัวตัดสินคัดเลือก - ซึ่งบางครั้งการที่ใช้ผลงานในอดีตก็ไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ผลงานในอนาคตได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น งานในหน้าที่ที่ได้เปลี่ยนแปลงระดับตำแหน่ง ก็ใช้ทักษะที่แตกต่างในการปฎิบัติงาน หรือถ้ามองในระยะยาวจากรายงานของ World Economic Forum 2020 ในส่วนของ Future of Job นั้น มีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปทำให้ งานกว่า 85 ล้านงานจะหายไป และมีงานที่เกิดใหม่ขึ้นมาทดแทนอีก 97 ล้านงาน และแน่นอนงานที่เกิดใหม่ก็ย่อมที่จะต้องการทักษะใหม่ สมรรถนะใหม่ ๆ ตามมาด้วย ฉะนั้นการที่จะระบุว่าใครเป็นกลุ่มคนเก่งจากผลงานในอดีตแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะต้องพิจารณากันใหม่ในอนาคต

3. เชื่อว่าการเข้าโปรแกรมการพัฒนาภาวะผู้นำนั้นจัดทำเพื่อคนเก่งที่พร้อมแล้วเท่านั้น – บ่อยครั้งเมื่อมีการคัดเลือกคนเก่งเข้าสู่หลักสูตรภาวะผู้นำ ผู้บริหารมักจะพิจารณาว่าบุคคลคนนั้นมีความพร้อมที่จะเรียนรู้มากน้อยขนาดนั้น เช่นมีเวลา มีความอยากเรียนรู้ มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ในการเป็นผู้นำ แล้วจึงค่อยตัดสินใจส่งคนเก่งที่มีความต้องการเรียนรู้ และมีความพร้อมเหล่านี้เข้าเรียนรู้ แต่ทว่า คนที่เข้าเรียนรู้จะกลายเป็นคนที่พร้อมที่จะเรียนรู้ แต่ไม่ใช่คนที่จำเป็นที่จะต้องได้รับการเรียนรู้แต่อย่างใด ในแง่การที่จะทำให้การเเรียนรู้ประสบความสำเร็จก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในแง่ผลที่องค์กรจะได้รับนั้นอาจจะไม่ใช่ เพราะคนที่จำเป็นต้องได้รับการเรียนรู้นั้นกลับไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำขององค์กรแต่อย่างใด อันจะนำไปสู่การเสียโอกาสทั้งตัวพนักงานเอง และองค์กร

ซึ่งบ่อยครั้งเราจะพบว่า ผู้บริหารระดับสูงบางคนก็เพิ่งจะได้รับการฝึกฝนทางด้าน Leadership ตอนที่เพิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงนี้เอง และระหว่างทางที่ผู้บริหารระดับสูงท่านนั้นได้ดูแลน้อง ๆ ทีมงานของตนเองไปนั้น หากดูแลดีก็ถือว่าเป็นผลดีต่อองค์กรไป แต่ถ้าหากดูแลไม่ดีก็ส่งผลกระทบมากมายไม่ว่าจะเป็นการลาออกของพนักงาน ผลงานที่ไม่ดีเมื่อพนักงานได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน และผู้บริหาร ตลอดจนบางครั้งองค์กรก็อาจจะต้องเสียคนดีมีฝีมือไปอย่างน่าเสียดาย

นอกจากนี้แล้วการที่มีแต่พนักงานที่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง หรือบางทีเรียกว่าพนักงานกลุ่มไฮโป (High-Potential) ที่จะได้รับการฝึกฝนด้านภาวะผู้นำในโลกยุคสมัยก่อนอาจจะเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่องค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือว่าจะใหญ่ก็มีแนวปฎิบัติเช่นนี้เหมือน ๆ กัน แต่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ที่กระแสความหลากหลาย และความเท่าเทียม หรือที่รู้จักกันในชื่อ DE&I (diversity, equity, and inclusion) ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ในบางมุมเรื่องนี้ก็มีโอกาสถูกมองว่าเป็นการเลือกปฎิบัติขององค์กรได้ แทน

อย่างไรก็ดี จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็ไม่ใช่ว่าบริษัทจะต้องจัดสรรงบประมาณไปให้พนักงานทุกคนได้รับการฝึกฝนด้านภาวะผู้นำ เพราะถ้าหากทำเช่นนั้นจริงบริษัทจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก จนกระทบกับงบประมาณของบริษัทในภาพรวมเช่นเดียวกัน จึงขอแนะนำแนวทางในการบริหารจัดการเมื่อองค์กรของท่านจะต้องมีการทำโครงการพัฒนาภาวะผู้นำให้กับคนในองค์กร ดังนี้

1. ปรับปรุงเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาภาวะผู้นำโดยเน้นประโยชน์ที่แท้จริง – จากเดิมที่องค์กรเน้นการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโดยการดูจากความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง ผลงานหรือผลประเมินการปฎิบัติงานที่ยอดเยี่ยมและผู้ที่มีแนวโน้มจะเข้าโปรแกรมการพัฒนาได้ ควรจะต้องมีการเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความจำเป็นต้องใช้ทักษะทางด้านการบริหาร หรือต้องพัฒนาความเป็นผู้นำได้มีโอกาสที่จะเข้าร่วมในโครงการนั้น เช่นการมีโครงการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่จะเลื่อนบทบาทขึ้นเป็นผู้นำทีม หัวหน้างาน หรือผู้จัดการ โดยไม่ต้องรอให้คนเหล่านั้นได้เข้าสู่ตำแหน่งก่อนแต่เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง เป็นต้น

2. ลองหาตัววัดอื่น ๆ มาพิจารณาควบคู่ด้วย – การพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ นอกเหนือจากความจำเป็นที่จะได้ใช้แล้ว ศักยภาพของบุคคลนั้นๆก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งแทนที่เราจะดูศักยภาพในการเข้าร่วมการพัฒนาจากความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมการพัฒนาได้จนจบโครงการ เราอาจจะลองพิจารณาเรื่องของ Learning Agility หรือความสามารถในการเรียนรู้ ซึ่งอาจจะต้องอาศัยการดีไซน์ตัววัดนี้ จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับตัวพนักงานเอง หรือใช้ Assessment Center จากข้างนอกมาเพื่อที่จะวัดให้มั่นใจว่า บุคคลที่องค์กรจะพัฒนาภาวะผู้นำ ที่จะเติบโตไปเป็นผู้นำขององค์กรในอนาคตนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะเรียนรู้และพัฒนาได้ต่อไปในอนาคต

3. ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการพัฒนา “Averagely Talented” หรือผู้มีผลงานที่ดี – องค์กรทุกองค์กรต่างอยากได้สุดยอดคนเก่ง Talent ขั้นเทพ แต่ในชีวิตจริง หากเราไม่ได้อยู่ในองค์กรที่สุดยอดระดับโลก เราคงไม่ได้มีสุดยอด Talent ไว้ในองค์กรได้มากนัก ฉะนั้นผู้ที่จะช่วยผลักดันโครงการหรือธุรกิจของเรา นอกจากจะเป็นกลุ่มสุดยอด Talent แล้ว ก็จะเป็นผู้ที่มีผลงานที่ดีด้วย ดังนั้นองค์กรควรจะไม่ลืมที่จะพัฒนาพนักงานในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกันยกตัวอย่างเช่น ที่ Adobe ที่เป็นบริษัท Software ระดับโลก ได้ออกแบบโครงการ Adobe’s Learning Fund เพื่อที่จะพัฒนาบุคลากรโดยรายละเอียดของโครงการนี้คือ บริษัทสนับสนุนเงินรายปี 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อที่ให้พนักงานที่มีปฎิบัติงานในระดับ ดี ขึ้นไป สามารถเข้าถึงการพัฒนาภาวะผู้นำได้ ซึ่งถึงแม้ว่าผลการปฎิบัติงานนั้นจะยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการคัดเลือก แต่ว่าจะไม่จำกัดอยู่แต่ในกลุ่มของผู้มีผลงานในระดับยอดเยี่ยมแต่เพียงอย่างเดียว เพราะผู้นำในองค์กรไม่ใช่จะมีแค่เฉพาะคนเก่งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ทุกๆคนก็ต่างเป็นผู้นำในองค์กร และต้องสร้างผลงานที่ดีให้กับองค์กรด้วย ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของ Geoff Colvin ผู้เขียนหนังสือ Talent is Overrated ที่มองว่าถ้าคนจะเก่งขึ้นได้ต้องอาศัย “Deliberate Practice” หรือการฝึกฝนอย่างปราณีตในแต่ละด้านของตนเอง ซึ่งทุกๆคนสามารถจะฝึกฝนให้เก่งขึ้นได้ และส่งผลงานที่ดีให้กับองค์กรได้

ทั้งนี้หากองค์กรเปลี่ยนแปลงวิธีคิดในการคัดเลือกผู้เข้าร่วมการพัฒนาภาวะผู้นำในองค์กรให้มีลักษณะที่กล่าวมานั้น ทีมงานHRD ก็จะต้องมีการปรับปรุงวิธีการพัฒนาและการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้เรียนด้วยเช่นกัน ซึ่งก็อาจจะหมายความว่าเป็นการเพิ่มงานให้กับทีมงานหรือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของการพัฒนาทักษะให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่อย่างที่คุณปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวไว้ใน The Future Journey of Platform, Technology and People Development เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ว่าการเป็น L&D ไม่ได้หมายความว่า Learning & Development เพียงเท่านั้น หากแต่ที่มีความหมายว่า

L = Leading the Change into of Work และ  D = Driving Force for Change

ฉะนั้นเราในฐานะของ HRD หรือผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องของการพัฒนาทักษะ และความเป็นผู้นำของบุคลากรในองค์กร จึงจำเป็นที่จะไม่ท้อ และพยายามนำความเปลี่ยนแปลง และสร้างพลังให้กับผู้นำในทุกระดับขององค์กรให้จงได้

Reference

https://hbr.org/2022/01/leadership-training-shouldnt-just-be-for-top-performers

https://hbr.org/2016/06/why-do-we-spend-so-much-developing-senior-leaders-and-so-little-training-new-managers

https://www3.weforum.org/docs/WEF_Future_of_Jobs_2020.pdf

https://hbr.org/2020/02/get-adventurous-with-your-leadership-training

https://hbr.org/2021/11/unpacking-5-myths-about-management

Tag:
No items found.
Share this post:
วัฒนศักดิ์ วิบูลย์ชัยกุล

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024