Work-life Integration เป็นการผสานการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้เกิดขึ้นแบบ “ไร้รอยต่อ” ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น นั่งทำงานที่บ้าน ร้านกาแฟ หรือสถานที่แบบ Co-working Space พร้อมกับประชุมงานผ่าน Video Call ไปด้วย เทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันช่วยให้เราสามารถปรับรูปแบบการใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ กำหนดตารางเวลาสิ่งที่ต้องทำได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจากที่องค์กรเคยช่วยพนักงานสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) จึงเริ่มปรับเปลี่ยนสู่ Mode การทำงานแบบผสมผสาน Work + Leisure หรือ “Weisure” ให้สอดรับกับพนักงานรุ่นใหม่ที่เป็นพวกดิจิทัลนอแมด (Digital Nomad) หรือกลุ่มคนที่เดินทางท่องเทียวไปตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับทำงานไปด้วย
แนวคิดการทำงานแบบผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน (Work-Life Integration) มาพร้อมกับอิสรภาพและความยืดหยุ่นในการที่จะสลับไปมาระหว่างความต้องการที่จะทำงานและการใช้เวลาส่วนตัว จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กร เช่น การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เชื่อมต่อการทำงานที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน การกำหนดตารางเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นสำหรับบางหน้าที่บางตำแหน่งให้สามารถทำงานจากที่บ้านได้ รวมทั้งการใช้ตัวชี้วัดผลสำเร็จหรือ Key Performance Indicator (KPI) ที่เน้นผลลัพธ์ของงานมากกว่ากระบวนการทำงาน ตัวอย่างขององค์กรที่นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ เช่น Airbnb ที่ให้บริการแบ่งปันที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ได้ให้เงินพนักงาน 2,000 ดอลลาร์ เพื่อไปพักผ่อนในที่พัก Airbnb ที่ใดก็ได้ในโลก ซึ่งพนักงานนอกจากจะได้พักผ่อนแล้วยังมีโอกาสศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อนำไปเป็นข้อมูลปรับปรุงบริการควบคู่ไปด้วย
การผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน (Work-Life Integration) จึงเป็นการกำหนดเป้าหมายสำหรับการใช้เวลาในแต่ละส่วนทั้ง Work/ Health/ Love/ Play ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตของเราให้เหมาะสม ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการใช้เวลาในภาพรวมในแต่ละสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ควรออกแบบให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของตนเองให้มากที่สุด
ฐานเศรษฐกิจ, 2561. ‘การทำงานและการใช้ชีวิตที่ไร้เส้นแบ่ง (Work-Life Integration)’, 14 มิถุนายน 2561, pp. 26
HR Society Magazine, ‘การทำงานและการใช้ชีวิตที่ไร้เส้นแบ่ง (Work-Life Integration)’ ธรรมนิติ. Vol. 16, No 186, หน้า 18 - 21, มิถุนายน 2561